ตอน3 <<<< คุยกันถึง SWITZERLAND >>>> *เรื่องชอกโกแลต นาฬิกา รองเท้า มีดพก เนยแข็ง*
ตั้งแต่มาถามแกเรื่องSAMEDANลุงเลยคิดอยากจะทดสอบไอคิวป้าว่ามีแค่ไหน เพราะตั้งแต่อยู่ด้วยกันมาแกพึ่งพอาศัยป้าไม่ได้เลย ไม่ว่าจะเรื่องถนนหนทาง ตารางรถไฟ หรือเรื่องอะไรทั้งสิ้น แกเซ็งมาก สมน้ำหน้าไปถามแก SAMEDAN แค่นี้เลยกลายเป็นข้ออ้างให้แกมากัดแบบไม่ปล่อย “pall ชั้นขอถามเธอหน่อย เธออยู่ที่นี่มาจะ30ปีแล้วนี่ เธอรู้จักประเทศชั้นดีแค่ไหน ชั้นไม่เคยเห็นเธอกระตือรือร้น วันๆเข้ามานั่งหน้าคอมแชททุกวันแทนที่จะอ่านอะไรหาความรู้ใส่ตัว” “ แหมแก่จะเข้าโลงอยู่แล้วต้องหาความสุขใส่ตัวซี จะรู้ไปทำไมรู้หรือไม่รู้ก้ออยู่ประเทศเธอมาได้นานถึงปานนี้แล้ว” ป้าเถียงลุงแบบเอาสีข้างเข้าถู “ใช่ๆๆๆๆๆม่ามี้แชทได้แชทดีไม่ค่อยหาอะไรอ่านเลย พูดภาษาก็แย่ยิ่งกว่าพวกอพยพอีก ยิ่งอยู่นานยิ่งพูดไม่ค่อยรู้เรื่อง” ไอ้ลูกชายตัวดีเสริมออกมาป้าอยากจะดีดมันมาก แบบนี้ปล่อยให้อดตายเสียให้เข็ดไอ้นี่มันงกกิน ปากทั้งพ่อทั้งลูกสงสัยเกิดราศีปีจอ “ชั้นว่าจะไม่เล่าอะไรให้เธอฟังแล้วนะ เธอฟังแบบเข้าหูขวาทะลุหูซ้าย ทำตาลอยเหมือนคนบ้ากัญชา ชั้นว่าเหมาะแล้วที่พาเธอไปดูน้องวัวบนเขา... นี่จะเล่าเป็นหนสุดท้ายแล้วนะ ฟังแล้วจดไว้ด้วย” “จ้า.....”ป้าต้องรีบจดเพราะช่วงหลังแกชอบงอนแบบคนวัยจ๊าบน้อยหรือพวกวัยต้องพึ่งไวอากร้า เซ็งมากจริงๆแหมแค่ถามว่าไอ้เซมาดั้นมันอยู่ที่ไหนเท่านั้นต้องมาบ่นและข่มขู่ เพราะความอยากเขียนลงหนังสือก็เลยต้องกัดฟันยอมเป็นเบี้ยล่างแก อืมว่าไปก็จริงของแกเถียงไม่ได้ การไปเที่ยวที่ไหนต้องทำความรู้จักเจ้าของบ้านก่อนอยู่ๆจะทะเร่อทะร่าไปได้อย่างไร บางคนคงจะงงอ้าวไหนบอกจะพาเที่ยวแล้วทำไมกลับกลายว่ามาเล่าถึงประเทศน้องวัว SWITZERLAND อ่านแล้วค้างๆไม่ต่อเนื่องกันเหมือนไม่ถึงจุดสุดยอด เรื่องพาไปเที่ยว SAMEDANเอาไว้ท้ายๆก็แล้วกันนะ เล่าเรื่องประเทศสวิตเซอร์แลนด์ก่อนก็แล้วกันเอาใจคนแก่ตามแกหมาไม่กัดหรอก ต่อจากนี้ไปเป็นการเล่าคร่าวๆที่ไม่ละเอียดเท่าไรนัก เป็นการพามาทำความรู้จักประเทศสวิตเซอร์แลนด์เท่านั้น ใครอยากอ่านแบบละเอียดไปหาหนังสือมาอ่านเอาเองก็แล้วกัน การเล่าของป้าบางครั้งอาจจะนอกลู่นอกทางไปบ้าง อ่านแล้วงงปวดหัว คนโสดอ่านแล้วไม่อยากมีผัวเพราะกลัวชายสวิสจะขาดสลึงแบบลุงหรือเกินบาทแบบป้า อ่านแล้วประสาทผวากำเริบขึ้นมา เขียนเล่า ผิดพลาดประการใดก็ถือว่าอโหสิกรรมกันก็แล้วกันนะ คิดเสียว่าอ่านเล่นแก้กลุ้มอ่านสนุกก็แล้วกันอย่าคิดมาก.....อาเมน
Matterhorn Toblerone Jean Tobler ป้าเชื่อนะว่าถ้าเอ่ยถามว่ารู้จักประเทศSwitzerlandไหม? รับรองว่าทุกคนจะร้องอ๋อบอกรู้จักอย่างแน่นอนรับรองได้และต่างจะพากันนึกถึงแต่ ชอกโกแลต พูดถึงชอกโกแลตเมื่อไรจะนึกถึงชอกโกแลตรูปภูเขาMATTERHORN รู้จักกันทั่วโลกเมืองไทยก็มีขายเป็นชอกโกแลตเป็นแท่งสามเหลี่ยมที่เราเรียกว่า Toblerone มี Jean Tobler เป็นเจ้าของ Toblerone อยู่ที่ Laengasse(Bern) รัฐเดียวกับป้าชอกโกแลตรู้จักเป็นครั้งแรกทางภาคใต้ Tessin ก่อน ต่อมา François - Louis Caillerเป็นชาวเจนีวาอยู่แถบ Vevey VD รัฐ Vaud(Waadt) สงสัยแกคงไปเที่ยวทางใต้มา และคงลองกินชอกโกแลตแถวโน้นจนติดใจ เลยกลับมาบ้านลงมือผลิตชอกโกแลตตั้งยี่ห้อ Cailler ขึ้นมา ปี 1819 ต่อมาก็เริ่มผลิตชอกโกแลตแข่งกันใหญ่
อีตาRodolphe Lindt ชาวBern เป็นเจ้าของชอกโกแลตยี่ห้อ Lindt นี่ดังมากป้าขอชูนิ้วมือ 2 นิ้วพอ ขืนชูหลายๆนิ้วจะโดนลูกหลง ยี่ห้อนี้อร่อยมากแหมแกเป็นคนถิ่นเดียวกับป้าก็ต้องเชียร์กันหน่อย ว่าไปชอกโกแลตที่ผลิตจากเขตBern ยังมีอีกหลายยี่ห้อนะเช่นยี่ห้อ Camille Bloch SA ดังพอๆกันผลิตชอกโกแลตที่รู้จักกันดีเช่น Ragusa และ Torino Rodolphe Lindt แกหัวเสมากในการทำการค้า ได้ใช้เนยที่ทำมาจากโกโก้ผสมในชอกโกแลตแบบใส่เข้าปากแล้วละลายรู้รสชาติชอกโกแลตดีเลยทำให้คนติดใจขายดีมาก ปัจจุบันเราจะเห็นเครื่องหมายชอกโกแลตยี่ห้อนี้มี 2 ชื่อคือ Lindt & Spruengli Rudolf Spruengli-Ammann ได้มาร่วมกิจการตอนหลัง โรงงานทำชอกโกแลต Lindt อยู่ที่ Kilchberg ( สมัยก่อนมีโรงงานอยู่ที่ Olten ) โรงงานของ Lindt มีหลายประเทศเช่นที่ Aachen Deutschland เยอรมัน, Oloron Frankreich ฝรั่งเศส, Italien อิตาลีมีโรงงานอยู่ 2 แห่ง ที่ Indun, LusernaI , Gloggnitz Österreich ออสเตรีย, Ghirardelli square San Francisco , Stratham New Hampshire บรรดาชอกโกแลตที่ผลิตในสวิตเซอร์แลนด์มีมากมายหลายยี่ห้อจนจำไม่ไหว ดังมากดังน้อยแล้วแต่คนชอบกินและการโปรโมท แต่ที่ดังมากที่สุดก็ Nestle Henri Nestle เป็นเจ้าของยี่ห้อนี้
Nestlé ดังไปทั่วโลกเป็นบริษัทที่ทำกิจการทุกอย่างไม่ว่าไม้จิ้มฟันยันเรือรบ ผลิตอาหารเด็กทารก น้ำตาลทราย กาแฟ ผงแป้ง ชอกโกแลต เครื่องดื่มกระป๋อง และอีกมากมาย หุ้นแกแข็งมากแบบปาหัวคนเล่นดังโป๊กๆๆเลย สังเกตเอาถ้าคนสวิสคนไหนอาภัพผมให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่าคงเครียดเรื่องหุ้น ชอกโกแลตที่สวิตเซอร์แลนด์มีมากมายหลายยี่ห้อแบบร้อยพ่อพันแม่จำไม่ไหว แต่นักท่องเที่ยวไม่ค่อยรู้จักกันเท่าไรเพราะมีขายที่สวิตเซอร์แลนด์เท่านั้น และราคาถูกมาก แต่ถ้าเปรียบเทียบถึงรสชาติแล้วบางเจ้าไม่อร่อยเท่าไร บางครั้งทั้งลดทั้งแจกก็ยังขายไม่ดี แต่ซองที่ห่อเขาทำรูปสวยมากขอบอก ป้าไปเมืองไทยทีกว้านซื้อยี่ห้อเหล่านี้ ที่เขาห่อเป็น4เหลี่ยมเล็กใส่เป็นถุงๆไปแจก ไม่ใช่อะไรหรอกประหยัดเงินไง ก็รู้ๆกันอยู่ไปก็จน..กลับก็จน...เห็นเราเป็นเมียฝรั่งเขาก็นึกว่าเรารวยไง แจกแบบนี้แจกให้เข็ดไปข้างหนึ่งเลย และคนไทยไม่รู้หรอกยี่ห้อที่ป้าซื้อไปไม่ค่อยอร่อย.....และราคาถูกมาก...แหมถ้าขืนบอกก็เสียยี่ห้อเราหมดที่มาจากเมืองคนรวย......โชคดีคนที่ป้าไปแจกชอกโกแลตไม่ได้เข้ามาอ่านที่ป้าเขียน... เมื่อพูดถึงชอกโกแลตแล้วก็นึกถึงอีกสิ่งหนึ่งที่โด่งดังระเบิดเถิดเทิงระดับโลกก็คือนาฬิกา นี่รับรองเลยว่าใครมาสวิตเซอร์แลนด์จะต้องซื้อผูกมือกลับบ้านกันทุกคน ที่นี่มีนาฬิกาขายเป็นจำนวนมากไม่เชื่อมาดูเอง รับรองตาลายแน่นอนรูปแบบมีทั้งโนะเนะ คิกขุ มีทั้งแบบคนเบี้ยน้อยหอยน้อย จนไปถึงคนเบี้ยใหญ่หอยใหญ่ แบบโลโซ จนถึง ไฮโซ จะบอกให้ก็ได้ว่ามีคนไทยใหญ่คนโตชอบมาสวิตฯมาซื้อนาฬิกากัน ป้าชอบเดินเลาะกระจกดูนาฬิกาตามร้านต่างๆ เขาว่าคนชอบนาฬิกาเป็นคนตรงต่อเวลานะ ลุงแกบอกว่านาฬิกามีมานานแล้วตั้งแต่ปี 1562อย่าให้เล่าเลยประวัติศาสตร์ของยุโรปยากมากไม่ไหว แค่ฟังแกเล่าแล้วปวดเฮดมากขอกราบอำลาดีกว่าใครอยากรู้เรื่องไปหาอ่านเองเถอะ ประวัติศาสตร์ไทยขนาดลอกข้อสอบเพื่อนยังสอบตกแล้วตกอีก อะไรที่เมืองนอกนี่ล้วนแต่มีประวัติเกี่ยวข้องกันมากมาย รู้คร่าวๆก็แล้วกัน ปี1562 มีคนฝรั่งเศสอพยพ หลบเข้ามาที่เจนีวาแต่จะหลบอะไรมาปล่อยเขาป้าเองก็ยังเกิดไม่ทัน ได้นำนาฬิกาเข้ามาเลยรู้จักกัน และเริ่มผลิตในปี 1785 ที่เจนีวา โรงงานทำนาฬิกาแห่งแรกนี้มีคนงานประมาณ 20,000 คน ขายดีมากเรียกว่าทำนาฬิกากันจนหน้ามืดเลย ผลิตได้ 85,000 เรือนต่อปี ต่อมาก็เริ่มไอเดียทำนาฬิกาแบบเปิดปิดฝามีเสียงเพลงเป็นรูปบ้านChalet
นาฬิกาKuckuck....อีกมากมาย ทุกวันนี้โรงงานผลิตนาฬิกามีชื่อจะอยู่แถว Solothurn นี่อยู่ใกล้บ้านป้าเลยนะ น้องเขยเขาก็ทำอยู่โรงงานทำนาฬิกาแถวนี้ Solothurn สวยมาก วันหลังจะพาเที่ยว นาฬิกาที่ดังทั่วโลกและมีมากมายหลายยี่ห้อ มีแบบโคตรจน...จนถึงแบบโคตรรวยมหารวยเขาใส่กัน..ป้าไม่เอ่ยชื่อยี่ห้ออื่นนะเพราะไม่ได้ค่าสปอนเซอร์ แต่ของ Rolex นี่ต้องเอ่ยถึงหน่อยเพราะเป็นนาฬิการะดับชาติ ถ้าเอ่ยถึง Rolex รู้จักกันทุกคนรับรองได้ ยี่ห้อนี้คนคอยืดเขาใส่กันนะเพราะใส่แล้วยืดได้ไง คนโลโซแบบป้าน่ะเหรอได้แต่ยืนมองตรงกระจกน้ำลายไหลยืดแหมะๆๆ แค่เขาเห็นสภาพป้าไปเกาะก็ไล่ด้วยสายตาแล้วเรื่องนาฬิกาป้ามีปัญญาจะใส่ได้แต่Swatch เท่านั้นเป็นนาฬิกาคนยากแบบถีบเตะทุบถองไม่ต้องเสียดายมันเลย หรือจะปาเล่นก็ได้แต่ห้ามปาหัวหมานะไม่งันเจ็บตัวแน่ๆๆดีไม่ดีตาดำหมดหล่อกัน หมาที่นี่มีเจ้าของกันทั้งนั้นการเลี้ยงหมาไม่ฟรีนะต้องเสียภาษีหมาด้วยโดยไม่คำนึงรูปร่างของน้องหมาว่ามีขนาดหรือพันธ์ใดทั้งสิ้น ก็มีราคาเท่ากันหมดและจะต้องผูกเครื่องหมายให้เขาเห็นด้วยหมาถ้ามีอายุเกิน 6 เดือนจะต้องแขวนเครื่องหมายนี้ให้เขาเห็นHundemarke เขาคิดราคาหมาแล้วแต่รัฐที่อยู่ ของป้าแถบ Bern ตอนป้ามีหมาเสียแค่ 80 สวิสฟรังก์ ตอนนี้เสีย 100สวิสฟรังก์ไม่รู้นะเห็นข่าวแว่วๆมาว่าจะขึ้นราคาหมาอีกแล้ว..เห็นไหม ขูดเลือดคนสวิสผู้เป็นเจ้าของหมา... ที่Switzerland มีกฎหมายหมาออกมาว่าถ้าหมาเด๊ดสะมอเร่เมื่อไร ถ้าน้ำหนักไม่เกิน 10 กก ให้ฝังในสวนบ้านตัวเองได้แต่อย่าแอบไปฝังสวนบ้านคนอื่นล่ะจะซวยไป ถ้า น้ำหนักเกิน 10 กกควรจะนำไปให้ทางเขตที่อยู่เพื่อเอาไปฝังในสุสานหมา(เขาบอกมาแบบนี้ถ้าจะเถียงไปเถียงเขาเองก็แล้วกัน) และถ้าสัตว์เลี้ยงตัวเองน้ำหนักไม่เกิน 200 กก.เขาคิดค่าบริการฟรี ฮ่วยถ้าหนักแบบนี้ไม่ใช่สัตว์เลี้ยงไว้ดูเล่นแล้ว สงสัยคงจะเป็นน้องวัวน้องควายแน่ๆ
ใครมาประเทศ สวิตเซอร์แลนด์ถ้าเข้าห้าง GUEBELIN หรือ BUCHERERร้านพวกนี้ขายนาฬิกาและเครื่องประดับ ระวังจะเดินขาสั่นนะขอบอก เพราะเป็นร้านไฮโซ ป้าเคยเดินเซ่อซ่าไม่มองดูป้ายร้านค้าดันพลัดหลงเข้าไปแล้วไม่ใช่อะไรหรอกไม่ได้มองชื่อร้านน่ะ รีบออกมาไม่ทัน ดีนะที่คนขายไม่ได้มองมัวเอานาฬิกาโรเล็กฝังเพชรให้คนซื้อที่แต่งตัวหรูหราสมเป็นมาดามที่สนใจดูอยู่ ตอนหลังป้าไปแอบดูราคาต้องรีบเก็บน้ำลายไม่ทันเลยเพราะแค่เรือนเดียวซื้อมหาวิลล่าที่เมืองไทยพร้อมสระว่ายน้ำได้เป็นหลังเลย พูดถึง Rolex ต่อดีกว่านาฬิกายี่ห้อนี้เริ่มผลิตในปี 1910 เป็นนาฬิกายี่ห้อแรกที่ทำแบบกันน้ำได้ ราคายี่ห้อนี้แพงมากป้าคนยากไม่มีปัญญาใส่หรอก แหมแค่หาเช้ากินตอนพระอาทิตย์ตกดินก็จะอดตายอยู่แล้ว ขืนไปทำซ่าซื้อมาใส่ผัวเตะเอากระดูกทิ่มข้างฝาแน่ๆ วันๆต้องเอาเงินเก็บใส่กระปุกเป็นค่าภาษีและค่าประกันเจ็บป่วย นี่ข่าวว่าจะขึ้นราคาอีกแล้วเซ็งมาก ทุกคนที่อยู่ในสวิตเซอร์แลนด์ต้องทำประกันเจ็บป่วยกันทุกคนเพราะเป็นกฎหมายบังคับ และราคาก็แล้วแต่บริษัทเขาจะคิดราคาไม่เหมือนกันบางแห่งแพงมาก บางแห่งถูก และการทำว่าควบคุมไปถึงอุบัติเหตุไหม แต่ว่าไปนะถ้าใครรายได้ไม่เข้าเป้าคือต่ำกว่ากำหนดที่ทางรัฐบาลตั้งไว้ รัฐบาลจะช่วยจ่ายประกันเจ็บป่วย A.รายได้ปีละ 26,400 สวิสฟรังก์/แต่งงานมีลูก/คน/ รัฐบาลช่วย 130 สวิสฟรังก์ /เดือน B.ถ้าผัวทิ้งผัวหายหลงทางกลับบ้านไม่ถูก...เลี้ยงลูกตามลำพังรายไม่ถึง2หมื่นสวิสฟรังก์ต่อปี เขาช่วยด้วย C.แต่งงาน/มีลูกรายได้แค่ปีละ 32,700 สวิสฟรังก์ รัฐบาลช่วย 80 สวิสฟรังก์/เดือน เรียกว่ารัฐบาลจะช่วยจ่ายประกันเจ็บป่วยผู้มีรายได้จนถึง 41,700 สวิสฟรังก์ ถ้าหาเงินสูงกว่า 41,700 เรา ต้องจ่ายประกันเจ็บป่วยเองหมด รัฐบาลไม่ช่วยแล้วถือว่ารายได้สูงช่วยเหลือเลี้ยงตัวเองได้ไม่ต้องเป็นห่วง ลุงหน้ามืดมาจนถึงทุกวันนี้รายได้เกินมาไม่กี่สวิสฟรังก์เองต้องจ่ายเงินจนกระเป๋าขาดเป็นรู เห็นแกด่ารัฐบาลเหยงๆอยู่ ว่าแกช่วยเหลือตัวเองไม่ดี เดินกระโดกกระเดกเพราะสะโพกพิการ หัวไหล่ก็พิการเส้นเอ็นขาดไป 3 เส้นต่อไม่ได้ นี่เพราะซ่าไปเดินเขาล้มตกไหล่เขา แกบอกรัฐบาลน่าจะหลับหูหลับตามาช่วยน้องผู้หิวโหยแบบแกบ้าง ห้ามไปพูดเรื่องประกันกับแกอย่างเด็ดขาดรับรองหูชาแน่ๆ ป้าเองยังอ่อนใจเลยจ่ายประกันเจ็บป่วยแต่ละเดือนแทบจะกินแกลบแทนมัน การทำประกันเจ็บป่วยและอุบัติเหตุ ( Kranken und Unfallversicherung) แต่ใครจะทำแบบเจ็บป่วยอย่างเดียวก็ได้จะถูกหน่อย มี 3 แบบ 1. Allgemein เป็นการทำประกันเจ็บป่วยแบบอนาถาการกระจอกงอกง่อย แบบนี้จะถูกกว่าทำแบบคนรวย(ขนาดถูกเดือนหนึ่งจะตกร่วม 200 กว่าสวิสฟรังก์ ) ถ้าเข้าโรงพยาบาลจะเป็นห้องรวมบางแห่งอาจจะมีถึง 5 เตียงแล้วแต่เขต และถ้ากดกริ่งเรียกนางพยาบาลต้องกินไอติมรอได้เพราะใช้เวลาเดินนานพอสมควร คนไข้พะงาบๆแบบนี้ไม่มีโอกาสเลือกโรงพยาบาลเองต้องตามใจประกันคนจ่ายเงิน ประกันคนอื่นไม่รู้นะแต่ของป้าประกันจะระบุมาเลย แต่ดีอย่างมีวิทยุให้ฟังฟรีแต่ถ้าดูโทรทัศน์ต้องเสียเงินค่าดูต่อวัน ถ้าไปพักรักษาตัวทำกายบำบัดจะต้องจ่ายเงินเองประกันไม่จ่ายให้ ลุงแกหน้ามืดมาถึงทุกวันนี้ไปพักรักษาตัวหลังผ่าตัดสะโพก 2 อาทิตย์ หมดเงินไป3พันสวิสฟรังก์ (ร่วม แสน)ประกันไม่จ่ายเลย 2. Halbprivat แบบครึ่งอนาถาและครึ่งส่วนตัวซึ่งแพงไปอีก ในห้องจะเป็นเตียงรวมกับคนอื่น 2เตียง เราสามารถเลือกโรงพยาบาลได้ และถ้าไปพักรักษาตัวทำกายบำบัดประกันจะจ่ายเงินให้ และถ้ากดกริ่งนางพยาบาลจะเดินไวหน่อย 3. Privat ห้องที่ไปพักรักษาตัวจะเริ่ดมาก มีการบริการจากนางพยาบาลตลอด 24 ชมแบบกดกริ่งปุ๊บมาปั๊บทันใจมาก มีการบริการทุกอย่าง เลือกอาหารได้มีห้องน้ำห้องอาบน้ำในห้องและยิ่งไปเข้าโรงพยาบาลมีชื่อสุดๆเขาแทบจะมาเช็ดตูดให้เลย การทำประกันแบบส่วนตัวนี้ต้องคนรวยจริงๆแบบใช้ Card ทองหรือคนที่มีรายได้สูงมากกว่ารายจ่าย ถ้าแบบรายได้ต่ำแต่รสนิยมสูงขืนซ่าไปทำเพราะอยากอวดว่าตัวเองไม่โลโซ รับรองซ่าไม่นานต้องไปกินแกลบจริงๆเพราะแต่ละเดือนจ่ายสูงจนฟันปลอมแทบหลุด การทำประกันแบบนี้เหมือนกระดูกทาชะแล็คที่เขาขัดจนเป็นมันเลย ยังไม่เสร็จนะถ้าเราไปหาหมอหรือเข้าโรงพยาบาล เราต้องจ่ายค่าทำงานให้กับประกันเจ็บป่วยที่เราเรียกว่า Jahres-Franchise( ค่าเอกสารการทำงานของเขา ) ซึ่งแล้วแต่ว่าเราจะทำแบบไหนต่ำสุดก็ 230 สวิสฟรังก์ต่อปี แบบนี้ต้องจ่ายแต่ละเดือนแพงมาก ถ้าใบบิลหมอมาเขาจะหักใบแบบนี้ออก จนครบ230 สวิสฟรังก์ และพอครบแล้ว เขาถึงจะจ่ายเราแต่ไม่หมดนะเราต้องจ่ายเอง 10% ของใบหมอแต่ละครั้ง และยานี่สำคัญมากเพราะประกันไม่จ่ายทุกอย่าง ก่อนหมอจะให้ยาเรา เราต้องถามทุกครั้งว่าประกันจ่ายไหม? นี่ป้าได้รับบทเรียนมาแล้วหมอให้ยามาประกันไม่จ่าย ป้าเป็นโรคภูมิแพ้หมอให้สะเปย์มาฉีด ราคาตั้ง CHF 98 ซวยมากเลยผัวด่าด้วยที่เซ่อซ่าไม่ถามหมอ Jahres-Franchise ที่สูงที่สุดประมาณ 1,500 สวิสฟรังก์นี่จ่ายประกันแต่ละเดือนถูกมาก แต่ห้ามป่วยนะเพราะถ้าป่วยประกันเขาจะหักใบหมอเราจนครบ 1,500สวิส ฟรังก์แล้วถึงจะยอมจ่ายใบหมอใบต่อไปก็เหมือนๆกับประกันที่บอกมาข้างบน ถ้าป้าหุ้นขึ้นว่าจะเปลี่ยนการเปลี่ยนประกันเจ็บป่วยใหม่จากแบบ อนาถา 100%มาเป็นกึ่งอนาถากึ่งส่วนตัว แต่ต้องรีบทำเพราะถ้าเกิน 55 ปีเขาจะไม่ยอมเปลี่ยนให้ เมื่อตอนป้ามาอยู่ใหม่ๆ ยังไม่มีกฎหมายตัวนี้ ยังจำได้พ่อผัวป้าแกไม่ได้ทำประกันมาตลอดชีวิต ป่วยเป็นโรคปอดตายเจอค่าหมอค่านอนที่โรงพยาบาลหมดตัวเลย หมอที่นี่บอกก่อนนะแพงมากแค่ยกมือจับเข็มฉีดยาคิดเงินแล้ว นี่แหละประเทศสวิตเซอร์แลนด์ถึงรวยเพราะมามุ่งเก็บเงินจากคนยากแบบป้าและลุง ส่วนคนที่รวยยกกำลังหลายๆหนแบบโคตรรวยไม่ต้องเสียภาษีมากหรือบางคนไม่เสียเลยเพราะเขารู้วิธี ใครอยู่ที่นี่ถึงจะรู้ดี คนสวิสนี่เป็นคนรู้จักค่าของเงินมากไม่ใช่ขี้เหนียวนะ เราอยู่ที่นี่แบบประหยัดมากของไม่จำเป็นไม่ซื้อ จะกินทิ้งกินขว้างแบบล้างผลาญนี่ไม่ใช่สวิส ค่าครองชีพที่นี่สูงมากขอบอก ถ้าขืนไม่รู้จักประหยัดรับรองตายแน่ๆ จะแบมือไปขอพ่อแม่ฝรั่งเขาไม่ทำกันหรอก ป้าขอชูนิ้วเป็นพยานแต่ไม่ใช่นิ้วกลางนะขืนทำไม่ได้มาเขียนหนังสือให้อ่านแน่ๆๆ ดังนั้นเราถึงได้เก็บกดมากพอถึง ตอนช่วงลดราคาสินค้าแบบลดกระหน่ำเลือดท่วมจอนี่คือลด 50% การซื้อของลดครึ่งราคาสำหรับคนสวิสถือว่าเป็นเรื่องธรรมดาไม่ใช่เรื่องน่าอับอาย
คนจะมามืดฟ้ามัวดินซื้อของกันตอนลดครึ่งราคา จะไม่มีใครเห็นหัวป้าหรอกแต่ถ้าลด เศษ 1/4เมื่อไรตระกูลป้าจะไปเสนอหน้าจนคนขายจำหน้าได้ โดยเฉพาะที่ LOBE (Bern) จะมีหนุ่มหล่ออยู่คนพูดบอกลดเปอร์เซ็นต์ว่าลดชั้นไหน หมอนี่จะใส่หมวกเป็นสัญลักษณ์ชุดเหลืองหมวกใบโต แกจำป้ากับลุงแม่นเลย ลุงแกชอบเสนอหน้าด้วย
พูดถึงตอนลดราคาต่อ...คนสวิสเด็กฮาร์ดทั้งหลายจะจ้องซื้อก็พวกรองเท้า กระเป๋ายี่ห้อ Bally ซึ่งเป็นของอีตาCarl Franz Bally แกเป็นชาว Schoenenwerd อยู่จังหวัด SOLOTHURNแต่ตอนนี้ยี่ห้อนี้เปลี่ยนเจ้าของไปแล้วนี่แหละคนเราจะเอาแน่ไม่ได้นะ การเกิดขึ้นๆๆๆๆลงๆๆๆๆไปตามกฎธรรมชาติ......
อีกอย่างจะลืมไม่ได้ก็คือมีดพกสวิส VICTORINOX ดังมากถ้าใครได้เป็นของขวัญยิ้มแก้มฉีกเลยรับรองได้และยิ่งเขียนชื่อลงบนมีดแล้วเห่อไม่ยอมเอาเข้ากระเป๋าเลย ความจริงบริษัทนี้ทำนาฬิกาด้วยนะแต่ไม่ดังเท่ามีด มีดพกของVICTORINOXเขาเริ่มทำเมื่อปี1884และเริ่มมาทำให้กับกองทัพสวิสเมื่อปี 1891และพอปี1897 ก็มาใช้คำว่า Swiss Army Knife ของแท้จะต้องมีการะบาดสีแดง ชื่อนี้รู้จักกันทั่วโลก มีดพกสวิสมีหลายยี่ห้อ เช่น
Wenger มีดพกยี่ห้อนี้ตั้งในปี1893ไล่เลี่ยมากับVictorinox
พูดถึงเรื่องอะไรต่อมิอะไรมามากจะขาดหัวใจสำคัญไม่ได้เด็ดขาดคือเนยแข็งที่รู้จักกันทั่วโลกที่นี่มีเนยจำนวนมากมายจนจำไม่ได้ ถ้าเอ่ยถึงเนยจะคิดถึงคำว่า
Fondue ฟองดูเนยแข็งขูดที่ใช้ไฟลนก้นหม้อทำให้ละลายแล้วที่ใช้ขนมปังตัดเป็นชิ้นพอคำจิ้มลงไปในหม้อห้ามทำตกไปในหม้อจะโดนปรับ
Racletteเป็นเนยที่ปิ้งกับไฟจนละลายใส่พริกไทยที่บดหยาบๆและใส่อบเชยป่นแก้ความเฝื่อนของเนย ดื่มกับชาดำไม่ให้ท้องอืด,บางคนดื่มไวน์ขาวด้วย กินกับมันต้มหัวเล็กๆ ใส่หอมหัวเล็กแช่น้ำส้มและแตงกวาดอง อร่อยมากขอบอก ยังจำได้ตอนที่ป้ามาอยู่ใหม่ๆได้กลิ่นเหม็นๆแบบคนตีนเน่า หรือถุงเท้าที่ใส่จนแข็งโป๊กเหมือนปลาเค็มตากแห้ง คงนึกถึงคนตีนเหม็นออกนะ แหมก้นโค้งหาแทบตายไปเจอลุงแกกำลังฟาดเนยอยู่ดีนะไม่ได้จับตีนแกขึ้นมาดม ลุงแกชอบกินเนยมากไปไหนต้องพกติดตัวใส่เป้ไปเลย บางครั้งกลับมาเห็นสารรูปเนยแกเหมือนก้อนขี้เหลืองมารวมตัวกัน ป้าเบื่อเนยแกมากไม่รู้ว่ากินไปได้อย่างไรขนาดกินไปบ่นไปว่าเหม็นยังฟาดกินซะแทบจะหมดก้อน
เบื่อมากตอนที่แกลากไปดูวัวและไปดูชาวนาเขาทำเนย นี่แว่วๆว่าแกจะลากป้าไปรู้จักชาวนาบนเขาอีกแล้วให้ไปดูเขาทำเนยอีก และสงสัยคงลากไปดมขี้วัวเหมือนเดิมเพื่อดูเขารีดนมวัวนำมาทำเนย และไปคุยกับเขาจนน้ำลายกระเด็นเข้าหม้อกวนเนยถ้าเนยอันไหนรสเค็มจัดผิดปรกติสันนิษฐานไว้ได้เลยว่าเนยอันนั้นน้ำลายลุงกระเด็นใส่อย่างแน่นอน เนยที่ทำเป็นครั้งแรกที่ MESOPOTAMIEN ปัจจุบันคือIRAKเนยที่ว่ามีอายุเก่าแก่ 5000 ปี สวิสรู้จักการทำเนยแข็งมานานร่วม3000ปีแล้วเขาจะแยกส่วนผสมต่างๆออกจากกันและตั้งชื่อให้รู้จัก มรดกอันนี้ตกทอดกันมาจนถึงทุกวันนี้ เนยอ่อนที่ผลิตมาเป็นครั้งแรกชื่อVACHERIN และ LA TOMME VAUDOISE
Vacherin La Tomme Vaudoise
เนยอ่อนที่รู้จักกันทั่วโลกคือ
Mozzarella
เป็นที่รู้จักกันดีทั่วโลกมีลักษณะเป็นก้อนกลม Mozzarella เนยแข็งที่เขาทำนี่เขาใช้นมวัวสดๆทำเลยบางชนิดอายุแค่ 3เดือนกินได้แล้ว บางอย่างต้องรอหน่อยแต่เนยพวกนี้จะมีอายุแค่3ปีเท่านั้น ถ้าเกินกว่านี้ยังกินได้อยู่แต่รสชาติจะเปลี่ยนไป ค่อนข้างจะร่วนแห้งและเค็มมากกว่าเดิม เนยแข็งที่เรารู้จักกันดีทั่วโลกเช่น Guyere Emmentaler Sbrinz Many Sbrinz มาพูดถึงSwitzerland ต่อดีกว่าประเทศนี้เป็นประเทศที่สวยติด topten อันดับหนึ่งของโลก จะเห็นว่าติดมาตลอดมีนักท่องเที่ยวทั่วทุกมุมโลกต่างพากันมาเที่ยวชมภูเขาและทิวทัศน์ที่สวยงามทุกฤดู กระดิ่งผูกคอวัวสวิสส่งเสียงกรุ๋งกริ๋งดังไปทั่วหุบเขาแอลป์
น้องวัวนี่ขวัญใจลุงแกเลยนะประเทศสวิตเซอร์แลนด์จัดว่าเป็นประเทศที่มีภูเขาล้อมรอบ เมืองต่างๆของสวิตฯจะตั้งอยู่ในเขตภูเขาสูงประมาณ 60% เรื่องภูเขาและเทือกเขานี่มีส่วนเกี่ยวข้องอย่างมากนะกับเขตถิ่นที่อยู่ใกล้ ไม่เชื่อถ้ามาอยู่จะเห็นชัดเจนเลย ถ้าหน้าหนาวบางแห่งจะติดลบหนาวมากเหมือนไซบีเรียเลย
Grimsel
Jura Berner Oberland Interlaken รัฐ Jura ป้ายังจำได้ไม่ลืมร่วม10 ปีที่ผ่านมาลบ 47 องศากว่าๆ เขตที่ป้าอยู่ลบ16องศาเวลาเยี่ยวเสร็จแทบจะเด็ดเยี่ยวทิ้งเลยตอนอยู่ข้างนอก ถ้าใครอยู่ทางใต้อากาศจะอบอุ่นหน่อย ชาวต่างชาติมาเที่ยวที่นี่มากนะโดยเฉพาะคนญี่ปุ่นชอบมาเที่ยวมากไม่เชื่อมาแถวBERNER OBERLAND โดยเฉพาะแถบ Interlaken Jungfraujoch.จะมีแต่ภาษาญี่ปุ่น คนสวิสบางคนพูดภาษานี้ได้ด้วย Jungfraujoch Love Marriage หนังอินเดียเรื่อง Love Marriage ไปถ่ายทำที่ Glacier of Les Diablerets ป้าไปเดินเขามาแล้วกับลุงแทบจะตีกันตกเขาตาย เพราะแกพาเดินทางตามใจแกคือพาไปเหยียบขี้วัวและต้องโหนเป็นทาร์ซานตอนลงเขา
Amisha’s Dil Dhadke Bar Bar มาถ่ายทำเมื่อปี 2002โดยใช้โลเกชั่นเป็นหุบเขาหลายแห่ง ชาวอินเดียก็รักประเทศสวิตเซอร์แลนด์มากถึงขนาดยกกองถ่ายหนัง Bollywoodมาถ่ายทำหนังที่นี่ทุกปี ใครไปเดินบนเขาถ้าเห็นรอยลึกๆทรุดเป็นหลุมใหญ่นั่นสันนิษฐานก่อนว่าแขกมาถ่ายหนังแถวนี้ เพราะหนังแขกแต่ละเรื่องกว่าจะถ่ายทำบทรักเสร็จแต่ละฉากต้องวิ่งจากเขาหนึ่งมาอีกเขาหนึ่ง ก็รู้อยู่รูปร่างแขกเป็นอย่างไร วิ่งถ่ายจนนักแสดงและผู้กับกับตากล้องรูปร่างสะโอดสะองเลย และถ้าเดินๆอยู่ได้กลิ่นผงกระหรี่ลอยมาผิดสังเกตแสดงว่านั่นคือกองหนังแขกมาถ่ายหนัง แถวนี้ คนสวิสว่าเก่งในการคำนวณตัวเลขแล้วยังแพ้พี่บังเรา กองหนังพวกนี้ไม่ยอมปล่อยเงินรูปีให้สวิตฯหรอก เขาจะขนกองทัพครัวเขามาเองเลยนะทุกคนต้องช่วยกันล้างชามทุกคน Switzerland ถึงแม้จะเป็นประเทศเล็กแต่เล็กแบบพริกขี้หนู ประเทศนี้จัดอยู่ในกลุ่มนำประเทศหนึ่งไม่ว่าจะเป็นด้านกีฬาโดยเฉพาะเทนนิส
Roger Federer Ski Alinghi การแข่งกรีฑาทุกชนิด ,พวกสถาปนิก,การทดลองค้นคว้าต่างๆ ที่ดังมากก็เรื่องการเงินธนาคาร และดังมากยิ่งขึ้นเมื่อสวิตฯได้ลงแข่งขันชนะการแข่งเรือใบได้ถ้วยอเมริกันมาครองที่ประเทศนิวซีแลนด์ เรือใบลำนั้นชื่อ Alinghi
|
Copyright © 2003 Pallswiss All Rights Reserved |
||