ตอน14 <<<< ประเพณี ของชาวสวิส >>>>
Jodeln Alphornblasen Fahnenschwinger
Der Eidgenoessische Jodlerverbandการร้องเพลงเขย่าลูกกระเดือกของคนสวิส
Jodler ปี 1910 JK Ebnat-Kappel ปี 1913
Ebnat-Kappel เป็นหมู่บ้านอยู่ที่ Toggenburg Kanton Appenzell การร้องเพลงแนวนี้มีมานานแล้วร้องเขย่าคอจนกระทั่งถึงปี 1895 แถว Appenzell และ Toggenburg เป็นคนที่เลี้ยงพวกสัตว์ดูแลวัวบนภูเขา ลองไปดูคนเลี้ยงสัตว์จะเห็นเขาเรียกสัตว์หรือน้องวัวนมโต เป็นเสียงสูงต่ำ คำรามอยู่ในลำคอ แบบ หอยๆๆๆๆแซะๆๆๆๆขยักลำคอสักหน่อย ค๋อมค๋อมมมมม เห็นมะเสียงจะขยักไปมา ด้วยเหตุนี้คนหัวใสเลยเอามาดัดแปลงร้องเพลงแข่งกัน การก่อตั้งสมาคมร้องเพลงแนวร็อคสวิสแนวนี้ตั้งขึ้นเมื่อวันที่ 8 พฤษภาคม 1910 ที่ Kanton Bern สมาคม EJV( Der Eidgenoessische Jodlerverband) ประเพณีของคนสวิสที่ทำกันหลายอย่างเช่น
Jodeln เป็นการร้องเพลงแนว โย่ว....โย่ว.....ฮี้โฮๆๆๆๆๆ ระโร่ฮี้โฮๆๆๆๆๆ ทำลูกกระเดือกขยับไปมา คนร้องจะเอามือใส่กระเป๋าทุกคน คนไหนที่เสียงดีเป็นคนร้องนำเขาจะให้ยืนตรงกลาง ครูที่ทำการสอนจะดูสะภาพลูกคอของทุกคนว่ามีโทนเสียงแบบไหน แต่ละคนที่ร้องจะต้องทำปากจู๋ถ้าไม่จู๋เสียงจะออกไม่ดีไงแบบห่อเสียง ใครอยากฟังเพลงแนวนี้ลองไปคลิกดูที่ให้มาเป็นตัวอย่าง http://www.baergfruende-thun.ch/d/hoerprobe/findex.html เพลงแรกชื่อ Muss wieder einisch เป็นเพลงรำพันหมายถึงการทำซ้ำอีกครั้งหนึ่ง เพลงที่สองชื่อ e Chilterbueb เป็นเพลงหนุ่มชาวนาเกี้ยวสาวโดยการเคาะหน้าต่างเรียก เพลงที่สามชื่อ Thunerlied เป็นเพลงรำพันถึงความสวยงามของธรรมชาติเขต Berner Oberland เช่นThun, Niesen
ต่อมาก็เริ่มมีสมาคมเขย่าลูกคอเพิ่ม
ปี
1922 Zentralschweizerischer
Jodlerverband (ZSJV)
อันมี
ปี
1932 Nordostschweizerischer Jodlerverband (NOSJV)
อันมี
ปี
1935
Nordwestschweizerischer Jodlerverband (NWSJV),อันมี
ปี
1937
Westschweizerischer Jodlerverband (WSJV),อันมี การตั้งสมาคมเขย่าลูกคอJodeln นี้คนสวิสที่อยู่ต่างประเทศคิดถึงบ้านเกิดเมืองนอนก็จัดสมาคมขึ้นมา หลายประเทศเช่น Amerika, Australien, Kanada, Neuseeland und Suedafrika สมาคมต่างประเทศจะประสานการทำงานร่วมกับสมาคมในสวิตเซอร์แลนด์
Alphornblasen Alp
ภูเขา NOSJV ปี 1935 ที่ Chur คนสวิสสมัยก่อนอยู่กับธรรมชาติจริงๆและการคมนาคมไม่สะดวกเหมือนทุกวันนี้ ขาโจ๋สมัยก่อนการส่งข่าวถึงกัน ถ้าไม่เอาฟืนมาเผาให้ไฟลุกให้มีแสงไฟหรือมีควันพุ่งโขมงส่งสัญณาณกัน แต่ไม่ใช่แบบเผาป่าแบบขาโจ๋สมัยใหม่นะ ไอ้แบบนี้แย่มากมันเป็นการทำลายทัพยากรณ์ธรรมชาติอย่างมาก น่าจะจับพวกนี้มาใส่ขี้หมาห่อตลอดชีวิต และการส่งข่าวถึงกันอีกแบบคือการเป่าแตรเขาสัตว์ส่งสัญญาณกันถ้าใครดูหนัง Tell จะเห็นเขาเป่าแตรส่งสัญญาณกันและเป็นจังหวะ พวกหน่วยสื่อส่งสัญญาณต้องเป่าเก่งและเป่าจริงๆไม่ใช่เป่ามั่วๆไปหมดแทนที่จะบอกให้หนีข้าศึกซวยไปนึกว่าเรียกให้มาหา คนที่อยู่บนเขาสูงๆบางภาคยังใช้แตรนี้อยู่นะ เขาจะเอามันมาเป่าตอนยามเย็นเสียงดังไปทั่วเทือกเขาฟังเยือกเย็นมาก การเป่าคงจะเป็นการแสดงออกทางอารมณ์อย่างหนึ่งนะป้าว่า ยิ่งเป่าเสียงดังเท่าไรน้องวัวจะสั่นกระดิ่งแข่งทันที ใครอยากจะฟังก็ให้ปีนขึ้นเขาไปฟังเองก็แล้วกันนะป้าไม่ไปด้วยหรอก หมดอารมณ์กับลุงมาแล้วแกพาไปดูขี้กวางภูเขาแกแค่กองเดียวต้องปีนเขาสูงตั้ง2000 เมตร ต่อมาคนสวิสได้ดัดแปลงเอาไม้มาทำเป็นแตรยาวและเป่าแข่งกัน ภาคตะวันออกเฉียงเหนือของสวิตเซอร์แลนด์ได้ก่อตั้งสมาคมนักเป่าแตรยาว Jodlerverband ขึ้นมาเมื่อปี 1932 และเริ่มงานเทศกาลเป่าแตรยาวเป็นครั้งแรกที่เมือง Arbonเมื่อปี 1934 มีแตรยาวมาเป่า 7 อัน คนเป่าสมัยก่อนพวกซูโม่ทั้งนั้น เพราะต้องการความเข้มแข็งในการเป่าแตรไม่ใช่เป่าทางปากออกทางตูดดังปู๊ดปร๊าดไปหมดแบบนี้แย่หน่อย ผู้ชมคงสลบกันเป็นแถบๆ ต่อมาคนมาสมัครมากขึ้น เรื่องเป่าคนสวิสชอบมากลุงก็อยากจะไปเป่ากับเขานี่ด่าแกไว้เลยไม่กล้าซ่าไปเรียนเป่าแตร เขามีการสอนนะไม่ใช่อยู่ๆใครๆก็เป่าได้ ครูเขาจะสอนการเป่าลมออก ไม่ใช่เป่าจนหน้าเหลืองหน้าเขียวเป็นลมคาแตรไปเลยแบบนี้เขาไม่เอา และอยู่ในเมืองขืนลุกขึ้นมาซ้อมเป่ากลางค่ำกลางคืนตำรวจจะได้มาลากคอเข้าซังเตแน่ๆ ปี 1935 เขาจัดที่จังหวัด Chur มีคนมาเป่า 15 ปี 1948 เขาจัดที่ Ebnat-Kappel มีคนมาเป่า 22 ปี 1966 จัดที่ Chur มีคนมาเป่า 66 ปี 1977 จัดที่ Glarus มีคนมาเป่า 121 ตอนนี้มีคนเข้ามาร่วมสมาคมเป่าแตรยาวมากประมาณ 25,000 คน สวิสมีความภาคภูมิใจในชาติของตนมากสิ่งไหนที่แสดงออกได้เขาจะเข้าร่วมทันที ถึงแม้จะมีดนตรีแนวใหม่มามากมายแต่คนสวิสยังภาคภูมิใจสิ่งเก่าแก่ของตัวเอง การเป่าแตรยาวแข่งขันจะมีกรรมการมาตัดสิน จะแบ่งเป็นกลุ่ม เป่าด้วยกัน 2 คนหรือ3คน หรือเป่าพร้อมกับดนตรีอย่างอื่นพร้อมกันไปแบบทีมเวิร์ค
Fahnenschwinger
คนสวิสขว้างธงขึ้นในอากาศนี้ขว้างกันจน
150ปีแล้วทุกวันก็ยังขว้างกันอยู่
ไม่เหมือนเมียไทยเราเวลาไม่สบอารมณ์ก็ผัวเราไม่ขว้างหรอกคว้าอีโต้สับเลย
จะเป็นการแข่งขว้าง เดี่ยว แข่งคู่ หรือเป็นทีมการขว้างจะต้องพร้อมกันและภายใน 3 นาทีต้องเข้ามือพร้อมกันขว้างซ้ายขว้างขวา
การแข่งจะต้องอยู่ภายในวงกลมข้างนอกรัศมี 150 ซม คนขว้างธงไม่ว่าหญิงหรือชายจะก้าวขาไปซ้ายหรือขวาไปมาได้แต่ไม่เกิน 60ซม. ใช้เวลาประมาณ 3 นาที แต้มคะแนนที่คิดจะเริ่มจาก คะแนน 30 ถ้าธงตกจะโดนหักคะแนน
การขว้างธงเราจะเห็นได้บ่อยๆจากงานเทศกาลเดินขบวนที่จัดขึ้น การขว้างเราต้องไปเรียนจากครูคนสอน ไม่ใช่อยู่ๆเราจะไปขว้างกับเขา ขืนทำแบบนั้นเขาดีดเราออกมาไม่ทันแน่ๆ เพราะขว้างธงไปโดนหัวหูผู้ชมเกิดคดีทำร้ายร่างกายแบบนี้ซวยไม่ได้กลับบ้านพร้อมผัวแน่นอน
SWITZERLAND กับ THAILANDหลังจากที่สมเด็จเจ้าฟ้ามหิดลอดุลยเดชฯเสด็จทิวงคตเมื่อวันที่ 2 กันยายน พศ. 2472 สมเด็จย่าทรงรับหน้าที่อบรมเลี้ยงดูพระราชโอรสและพระราชธิดาทั้งสามพระองค์เพียงลำพัง และทรงตัดสินพระทัยเสด็จประทับที่เมือง Lausanne ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ เมื่อปีพศ. 2476 เพื่อรักษาพระพลานามัยของพระราชโอรสองค์ใหญ่ ทรงใช้ชีวิตครอบครัว แม่-ลูก ที่สวิตฯอย่างอบอุ่นและสงบสุขเหมือนครอบครัวอื่นทั่วๆไป ชาวสวิสรักและเทิดทูนพระองค์มาก สมเด็จย่าได้เสด็จกลับมาประทับในประเทศไทยเป็นการถาวร ณ วังสระประทุม พศ.2494 และได้เสด็จกลับมาพักผ่อนพระอริยาบถเป็นครั้งคราวๆละนานหลายเดือน พระองค์ทรงชอบสวิตเซอร์แลนด์มาก ใครอยากอ่านรายละเอียดควรหาหนังสือ "แม่เล่าให้ฟัง" พระราชนิพนธ์ในสมเด็จพระพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนากรมหลวงนราธิวาสราช นครินทร์ มาอ่าน
ขอขอบคุณ ลุง ผู้ถ่ายทอดวิชา และความรู้ การใช้ชีวิตในสวิตเซอร์แลนด์ ****** DANKE SCHOEN ******
|