ตอน3           

                <<<< Trip to Samedan >>>>

Trekking Wandern    ข้อควรรู้สำหรับการเดินเขา

 

1. รองเท้าสำหรับการเดินเขาโดยเฉพาะ

รองเท้าสำคัญที่สุดสำหรับการเดินเขาสูง  ต้องใส่เดินหลายชั่วโมง ถ้าเดินแล้วรองเท้ามันกัดทรมานมากแทบจะเอารองเท้าขว้างทิ้งเลย พื้นรองเท้าและรองเท้าต้องกันน้ำได้ ก่อนจะซื้อต้องแน่ใจว่ารองเท้า ไม่ใหญ่จนเกินไปเดินทีรองเท้าแทบจะเดินน้ำหน้าตีนแบบนี้อย่าซื้อเด็ดขาด หรือซื้อของถูกๆใส่แล้วนิ้วตีนงอเลยเพราะต้องการประหยัดเงิน  ก่อนซื้อรองเท้าเราต้องใส่ถุงเท้าสำหรับการเดินเขาโดยเฉพาะตอนลองเดินไปเดินมาจนแน่ใจว่านี่แหละใช่แน่ๆ และพอใส่ลองขยับนิ้วตีนว่าเป็นอย่างไร  ถ้ารู้สึกว่าคับอย่าซื้ออ่านให้แน่ใจว่ากันน้ำได้และตอนเดินเขาเหงื่อออกรองเท้าจะมีกรรมวิธีระเหยเหงื่อหรือสิ่งชุ่มชื้นออกไปแบบแห้งไว

2. แผนที่สำหรับการเดินเขา
สำคัญที่สุดถ้าเผื่อเดินเอ้อระเหยลอยลมจนหลงทางจะได้กางแผนที่เดินกลับบ้านถูก บนเขาสูงบางครั้งเดินทั้งวันไม่เจอหน้ามนุษย์เลย

3. ไม้เท้าเดินเขา   ถุงเป้    เครื่องปฐมพยาบาล(ยา พลาสเตอร์)    มีดพก

   

   

ไม้เท้า         ช่วยในการประคองตัวยามเดินขึ้นเขาสูงจะช่วงผ่อนแรงไม้เท้าไม่ควรจะให้สูงเกินไป
ถุงเป้           เป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดเพราะต้องใส่พวกอาหารการกินที่นำติดตัวตอนเดินทาง สิ่งที่สำคัญห้ามลืมเด็ดขาดคือ เสื้อกันฝน  อากาศบนภูเขาค่อนข้างจะคุ้มดีคุ้มร้าย บางทีอยู่ดีๆฝนตกแล้วคงจะอารมณ์เสียทะเลาะกับเมีย  หรืออยู่ๆก็หนาวจนขนลุกไปทั้งตัวจนสั่นเหมือนผีเข้า
พลาสเตอร์   สำคัญมากใช้เวลาเป็นบาดแผล ยาแก้ไข้ ปวดหัวตัวร้อน ท้องเดิน เตรียมให้พร้อม ข้างบนไม่มีหมอนะต้องช่วยตัวเอง อยากจะเที่ยวต้องรู้กฎ ถุงเท้าควรจะเตรียมเผื่อยามฉุกเฉิน
มีดพก 
      เป็นสิ่งที่นักเดินเขาจะลืมไม่ได้เด็ดขาดสำคัญมากเพราะใช้ทุกอย่างข้างบน
น้ำ             สำคัญที่สุดห้ามลืมเด็ดขาดขาดน้ำแล้วจะรู้สึก

4. เครื่องหมายแสดงทางที่เขาบอกเพื่อใช้เดินเขา

 

A  เครื่องหมายสีเหลืองเครื่องหมายแบบนี้หมายถึงการเดินทางไกลธรรมดา ทางที่เดินไม่มีอันตราย

B  เครื่องหมายสีแดงขาวเครื่องหมายนี้ แสดงให้เรารู้ว่าเป็นการเดินทางขึ้นเขาสูงหนทางต้องระวังจะเดินชมนกชมไม่ไม่ได้ไม่เช่นนั้นตกเขาตายหรือเลี้ยงไม่โต ข้างบนภูเขาสูงเขาจะทาสีนี้บนก้อนหินเราต้องเดินตามที่เขาบอกอย่ารั้นอวดว่าเก่ง คนเดินจะต้องมีสภาพร่างกายพร้อม

C  อีกเครื่องหมายหนึ่งคือสีน้ำเงิน-ขาวคนเดินเขาต้องมีสภาพพร้อมทุกอย่าง เดินไปล้มไปห้ามไปเด็ดขาด  หรือถ้าทะเลาะกับเมียห้ามมากเดี๋ยวจะคิดการร้ายขึ้นมา เพราะทางเดินจะสูงและมีอันตรายเกิดขึ้นได้ เส้นทางนี้ ห้ามแม้กระทั่งหมาเพราะอันตรายหมามันชอบวิ่งดีไม่ดีเจ้าของจะขี้มูกโป่ง

 

 

วันแรก..........ออกเดินทางผจญภัยบนเขาสูง

Fuorca val Champagna

Muottas Muragl

Fuorca val Champagna  อ่านว่า   โฟรอูรคล่า  วาว  คัมปานย่า   สูงประมาณ 2806 เมตร

Muottas Muragl   อ่านว่า    มัวตาส   มัวราย    สูงประมาณ  2453 เมตร

 

วันที่ 1  สิงหาคม  2003

หลือบดูนาฬิกาแล้วเราต้องรีบโกยแน่บออกจาก Sporthotel แทบไม่ทันเพราะจะบ่ายโมงแล้ว  ยังไม่รู้เลยว่าเขาที่จะไปเดินหน้าตาเป็นอย่างไร หัวหน้ากระเหรี่ยงทัวร์ก็คุ้มดีคุ้มร้ายกลัวพาตกเขามาก  ระหว่างที่ยืนรอรถเมล์ที่จะแล่นผ่านมาป้าต้องบังคับฉุดกระชากลากถูให้แกถ่ายรูปให้ เกือบจะตีกันเรื่องถ่ายรูปรถเมล์มาพอดีแกเลยรอดตัวไป รถที่นั่งเป็นรถ Post ดูสีก็รู้แล้วเพราะออกเหลืองเป็นสีจีวรเห็นมาแต่ไกล เรารีบคว้าเป้สงบศึกชั่วคราวเพราะกลัวตกรถ รถบัสค่อนข้างว่างมีคนนั่งอยู่แค่2หรือ3คนแต่ละคนบอกยี่ห้อว่าหลงมาจากที่อื่นแบบลุงกับป้าเด๊ะเลย  เพราะมีทั้งเป้และไม้เท้า คนขับเป็นหนุ่มใส่แว่นตาดำมีหนวดขึ้นหรอมแหรมหน้าตาบอกว่าเป็นคน Buendner(บุ้นเน้อร์) เราเรียกคนที่อยู่อาศัยแถบ Graubuendenแบบนี้ พี่แกมีหน้าตาค่อนข้างจะหุบแบบพระเอกหนังArnold Schwarzeggner ไม่มีผิด ค่ารถบัสไม่แพงจนเกินไปลดครึ่งราคาเหลือประมาณ
ไม่ถึง
3 สวิสฟรังก์ เราต้องจ่ายตรงหน้าคนขับ ตรงหน้าไม่มีคนนั่งเรารีบนั่งเลยเพื่อดูวิวและลุงแกจะได้ฝอยกับคนขับได้ รถที่นั่งจะพาเราไปลงที่ Punt Muragl

รถมาหยุดจอดรับคนที่สถานีรถไฟ Samedan ถึงแม้ไม่มีคนขึ้นแต่รถต้องหยุดรอรับคน พอถึงเวลารถเริ่มเคลื่อนตัวออกจากสถานีรถไฟย้อนกลับไปทางเดินแต่เลี้ยวโค้งออกนอกเมือง  ระหว่างทางเราชมนกชมไม้ไปตามเรื่อง  ชมแก้เซ็ง ต้นไม้ที่ขึ้นอยู่ข้างทางยืนแห้งเหี่ยวผิดปรกติผอมแห้งแรงน้อยเหมือนไม้เสียบผีลุงบอกเพราะร้อนจัด พอรถเริ่มแล่นผ่านเข้าเขต18หลุมป้าตะโกนอย่างดีใจ

“บ๊อบบี้นี่ไงไอ้ 18 หลุมโหแต่ละหลุม โหเขียวมาก โห....”
“ไม่เคยเห็นหลุมเหรอทำเป็นตื่นเต้นไปได้ ชั้นน่ะเหยียบหลุมจนเบื่อแล้วจากนิวซีแลนด์”  

หลุม18หลุมสนามเขียวชะอุ่มมาก มีคนมาเล่นตีกอล์ฟกันสลอน มีร้านอาหารบริการด้วย ป้าตื่นเต้นมองดูหลุมกอล์ฟไม่วางตา ตั้งแต่เกิดมายังไม่มีวาสนาไปเหยียบหลุมพวกนี้ ได้แต่เหยียบอย่างอื่น  คนขับคงจะเซ็งกลุ่มทัวร์กระเหรี่ยงมากเพราะเห็นแกขับรถเครียดผิดปรกติ  จนรถมาหยุดที่ Punt Muragl เรายังนั่งกันอยู่อย่างเอ้อระเหย  คนขับรีบไล่ให้ลงรถคงดีใจว่าหมดกรรมกับกลุ่มทัวร์อันนี้ เรารีบตาลีตาลานลงรถบัสแทบไม่ทัน

เห็นคนยืนรอกันสะลอนเต็มไปหมดตรงหน้าช่องเล็กๆขายตั๋วรถไฟแดงขึ้นเขาMuottas Muragl  คนขายตั๋วรูปร่างหน้าตาเหมือนพี่เลี่ยนตุ้ยนุ้ยมาก เห็นแกพูดๆๆ ฉีกๆๆตั๋วแล้วเหนื่อยแทน  ถึงคิวเราพอดีลุงบอกซื้อตั๋ว 2 ใบมีบัตรลดครึ่งราคาแต่เขาไม่ให้เพราะรถไฟสายนี้เป็นของส่วนตัว ราคาคนละ 18 สวิสฟรังก์ราคาแพงมากจนเราแทบจะเดินขึ้นเขาแทนการนั่งรถไฟ แต่พอเห็นทางเดินที่จะเดินขึ้นเขาที่ลุงชี้ให้ป้าดูแล้วต้องรีบเปลี่ยนใจเข็ดจนขี้อ่อนขี้แก่มาตั้งแต่เช้าแล้ว แกบอกใช้เวลาเดินประมาณ 2ชั่วโมงครึ่งแต่เดินแบบเราต้องร่วม4ชม ป้าฟังแล้วเหี่ยวมาก  ถ้าขืนเดินสงสัยต้องอาศัยดื่มนมวัวบนเขาแน่ๆ  และไม่รู้ว่าจะมีวัวไหมเพราะมันสูงมาก  เลยกัดฟันปลอมกันทั้งสองคนควักเงินตังเม.................ยาน.........ยืดออกจากกระเป๋าด้วยความเสียดายมาก

   

พอขายตั๋วเสร็จแล้วพี่ตุ้ยนุ้ยคนขายตั๋วรีบปิดเซพเงินลั่นกุญแจอันใหญ่มากคล้องกับเหล็กใหญ่ตรงช่องขายตั๋ว เรียกว่าคนที่จะมาขโมยเงินแกต้องยกธงขาวกราบลาไปเลื่อยเซพคนอื่นดีกว่า

พอเขาอนุญาตให้ขึ้นรถไฟได้ป้าวิ่งพล่านไม่รู้จะขึ้นตู้ไหนดีเพราะอยากดูวิว เดินขึ้นๆลงๆจนลุงด่า เกือบไม่ได้ขึ้นแล้ว  เพราะพี่เลี่ยนแกรำคาญมากรีบปิดประตูหมดเลย ตกลงเราได้ตู้ชั้นล่างสุดซวยสุดขีดเพราะมีกระดานอันใหญ่ปิดบังไว้   ตลอดทางที่ยืนมาลุงแกค้อนป้าพร้อมทำปากหมุบหมิบไปตลอดทางที่แกต้องรับกรรมที่แกไม่ได้ก่อร่วมกับป้า

รถไฟแดงคันเล็กมีคนขึ้นเต็มไม่ว่าลูกเล็กเด็กแดงคนแก่หนังยานรวมทั้งเราด้วย สองฟากทางเป็นต้นสนขึ้นเต็มไปหมดเราเห็นเห็ดขึ้นแต่เป็นเห็ดชนิดกินไม่ได้ถึงแม้กินได้เขาห้ามเก็บเป็นกฎของที่นี่ถ้าขืนรั้นไปเก็บเขามาตรวจพบซวยแน่ๆโดนปรับอ่วมอรทัยมีคนเก็บได้จำนวนมากโดนปรับมาแล้ว 2000 สวิสฟรังก์ ที่เขต Bern เขาห้ามตั้งแต่วันที่1 ถึงวันที่7 ของทุกเดือน ที่นี่ตั้งแต่วันที่1 ถึงวันที่ 10ถ้าจำไม่ผิด

พอรถไฟจอดที่สถานีส่วนมากที่มานั้นไม่ได้มาเดินเท่าไรหรอกมาชมวิวและมากินอะไรข้างบนซึ่งมีโรงแรมและร้านอาหารในโรงแรมเปิดบริการ ป้าเห็นคนนั่งชูคอสลอนรอเขาย่างเนื้อส่งกลิ่นโชยยั่วกระเดือกลุงมากเพราะเห็นกระเดือกแกเต้นขึ้นเต้นลง ป้ากับลุงรีบพากันเดินเพราะต้องเดินกันหลายชั่วโมงและอีกอย่างไม่รู้จักทางกันเลย ช่วงแรกๆมีคนเดินกันพอสมควรทางที่เดินยังเรียบสบายเหมือนมาเดินเล่นกัน วิวสวยมากเลยหยุดถ่ายรูปกัน เราพากันเดินเลาะทางที่เริ่มสูงชันขึ้น ระหว่างสองข้างทางมีดอกไม้ภูเขาเล็กๆและพวกตะใคร่น้ำจับไปทั่ว อากาศบริสุทธิ์มากถึงว่าคนป่วยและพวกนักกีฬาชอบมาซ้อมกีฬาที่นี่เพื่อฟอกโลหิต

ลักษณะเส้นทางที่เราจะต้องใช้เดินเริ่มจากจุด Muottas Muragl สูง  2450  เมตร  เดินตามเส้นสีแดงแล้วแยกเดินขึ้นไปยัง Piz Muragl  เส้นทางที่เราเดินมีแค่ 2 คน  ส่วนมากคนจะเดินไปอีกเส้นทางหนึ่งซึ่งอยู่ต่ำกว่าและมีทะเลสาบเล็กๆMuraglsee   คนจะพากันไปปิกนิกและกินอาหารกันที่นั่น

Muraglsee

เส้นทางที่เราเดินเริ่มสูงชันและต้องคอยระวัง  ตั้งแต่เราเดินมาไม่มีต้นไม้เลยเพราะเขาเริ่มสูงมาก ถ้าเขาสูงเกิน 1800ถึง 1900เมตรจะไม่มีต้นไม้ขึ้นแล้ว  แต่บางแห่งอาจจะยังพอมีบ้าง ที่ต้นไม้ไม่ขึ้นเพราะความเปลี่ยนแปลงหลายต่อหลายอย่างที่มีผลกระทบ  ทางยิ่งสูงชันและแคบมีแต่ก้อนหินต้องระวังต่อการลื่นมาก  ทางที่เดินขึ้นจะมีเครื่องหมายทาสีบนก้อนหินบอกให้รู้เป็นเครื่องหมายสีแดงขาว จุดที่เดินขึ้นมาสูงที่สุดของ Muragl-Passhφhe

Muragl Pass

“บ๊อบบี้ หยุดปวดท้องเยี่ยวมาก  ดูต้นทางด้วยเผื่อมีใครหลงทางเดินมา และเธอหันหลังห้ามดูชั้นเยี่ยวนะ”
“ชั้นว่ากระเพาะเยี่ยวเธอต้องยานมากเดี๋ยวเยี่ยวๆชั้นน่ะเบื่อมาก ชั้นไม่อยากดูหรอกดูจนเบื่อแล้ว และไม่มีใครหลงมาหรอกดูสภาพเขา ชั้นว่ามันพิกลนา ไม่มีใครเดินเลย แหมหิวข้าวแล้ว เธอเยี่ยวทำไมต้องกางร่มด้วย”


เราเอาของกินออกมาจากเป้นั่งลงบนก้อนหินกินไปชมธรรมชาติไป ของกินที่นำติดตัวมาเป็นของกินง่ายๆ การขึ้นเขาเราต้องทำตัวง่ายกินง่ายอยู่ง่าย ของกินที่นำมาส่วนมากจะเป็นไส้กรอก แซนวิช ขนมปัง น้ำและนม ของป้าเป็นสลัดง่ายๆที่ทำขายสำเร็จรูปซื้อมาตั้งแต่อยู่ที่Bern แล้ว
เรานั่งกินยังไม่ทันจะหมดเลยจากอากาศอบอุ่นอยู่ดีๆลมพัดจัดจนป้าต้องหุบร่มที่กางกันแดด อากาศเริ่มหนาวขึ้นตามลำดับจนเราต้องตะเกียกตะกายใส่เสื้อกันหนาวกัน หนาวมากจนมือเริ่มแข็งงอแทบไม่ได้เลย  ป้ามองไปรอบๆบางแห่งยังมีหิมะที่จับตัวจนแข็งจับไปทั่วบริเวณ มีแต่ก้อนหินและตะใคร่น้ำที่เกาะอยู่ตามก้อนหินทั่วไป ไม่มีต้นหญ้าหรือต้นไม้เลย หนาวจนทนไม่ไหวเราจึงต้องตะกุยตะกายเอาของใส่เป้เพื่อเริ่มการเดินทางให้พ้นจากจุดอันนี้ ขืนอยู่ต่อไปเราคงเป็นมนุษย์น้ำแข็งแน่ๆ


“บ๊อบบี้อย่าซ่าเดินออกจากทางที่เขาทาสีแดงขาวไว้นะ ที่นี่ไม่ใช่เขตของเรา เดินตรงนี้ไปเดินทำไมตรงโน้นเดี๋ยวเป๋ตกเขาหรอก”ป้าส่งเสียงห้ามลุงเพราะแกชอบเดินตามใจฉัน สังเกตดูมาทัวร์อันนี้ดูแกเชื่อฟังคำสั่งที่เขาบอกเครื่องหมายไว้ดี สงสัยคงกลัวไม่ได้กลับบ้าน

ทางที่เดินลงลำบากมากเพราะเป็นก้อนหินแบบนี้ตลอด ยิ่งเดินลงข้างล่างยิ่งเป็นหินก้อนเล็กๆที่ทำให้ลื่นตลอด ระยะทางเดินลงเขาสูงชันมากและแคบนิดเดียวถ้าไม่ระวังจะลื่นล้มได้ง่ายๆ รองเท้าเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดที่ช่วยเกาะก้อนหินพวกนี้ การเดินลงเขาที่สูงชันและเดินบนก้อนหินแบบนี้ไม่ดีต่อหัวเข่ามาก เพราะเราต้องเกร็งตลอดเวลา เท่าที่สังเกตดูพวกนักเดินเขาทั้งหลายพอแก่ตัวลงจะมีปัญหาเรื่องหัวเข่าเสื่อมมาก

ในที่สุดเราก็เดินลงมาถึงข้างล่างซึ่งล้อมรอบไปด้วยหุบเขา ข้างล่างของป้านี่ยังอยู่บนเขาที่มีระดับความสูงประมาณกว่า2000เมตรอยู่  ทางที่เดินเต็มไปด้วยหนองน้ำที่เราเรียกว่าSumpf   เรามองหาเครื่องหมายทาสีแดงขาวแต่มองไม่เห็น  ช่วงนี้คนทำเครื่องหมายบอกทางแย่มาก เดินไปตกหลุมไปจนดูกันไม่จืดเลย

“บ๊อบบี้ตั้งแต่เราเดินมาไม่เห็นหน้ามนุษย์คนอื่นเลยนะนี่ เส้นทางเส้นนี้มันดูพิกลๆอยู่นา ชั้นเคยคุยกับคนที่เขาเกิดที่นี่ก่อนจะเดินทางมา เขาบอกเส้นทางนี้ห้ามทำครึ่งวัน เธอแน่ใจนะว่าทำทัวร์ถูก โน่นๆเห็นแล้วเครื่องหมาย”

ป้ากับลุงต้องพากันตะเกียกตะกายปีนขึ้นข้างบนเพราะเราเดินหลงทางมาข้างล่าง  เซ็งมากปีนไปด่าไปกับคนทำเครื่องหมายบอกทาง สงสัยตอนทำคงจะดวดเหล้าไวน์มากจึงทำเครื่องหมายขึ้นๆลงๆแบบนี้  หลังจากนั้นเราพากันเดินต่อไป ระหว่างทางได้ยินแต่เสียงสัตว์ป่าร้องเต็มไปหมด ลุงหยุดส่องกล้องดูกลุ่ม  Steinbock(แพะภูเขา)ขณะส่องดูเพลินเราต้องตกใจมากเพราะไอ้ตัวที่เราส่องดูมันกระโจนข้ามหัวเราไปอย่างหวุดหวิด ลุงตกใจจนแทบจะหงายท้องเพราะกลุ่มนี้มีร่วม10 ตัว ถึงว่าลุงแกเตือนแล้วว่าเดินเส้นทางนี้ระวังพวกสัตว์พวกนี้

เยี่ยวแทบราดเพราะตกใจที่มันจู่โจมกระทันหัน  ระหว่างทางที่เดินมีแต่หุบเขาและอากาศร้อนจัดมากผิดกับตอนอยู่ข้างบน ตั้งแต่เดินมายังไม่เห็นวัวเลยสักตัว บ่นยังไม่ทันจะขาดคำได้ยินเสียงวัวมันร้องทัก มอๆๆๆๆๆ   วัวกลุ่มนี้มีแค่ 5 ตัวเอง  สงสัยคงเป็นวัวพันธ์เอธิโอเปียเพราะผอมแห้ง หญ้าที่กินก็มีแต่เหี่ยวแห้งมาก วัวพวกนี้เป็นวัวที่นมไม่โต  เห็นลุงบอกว่าเขาเลี้ยงไว้กินเนื้อแต่ป้าดูแล้วคงเลี้ยงไว้กินกระดูกมากกว่า วัวกลุ่มนี้ มันมองดูพวกเราทำตาปริบๆ  บางตัวนอนอ้าซ่าไม่สนใจยอมลุกหนีเรา  จนลุงต้องฉุดกระชากให้มันลุกขึ้น มันถึงได้ซังกะตายลุกป้าดึงแขนลุงให้เดินทางต่อ  ระหว่างทางที่เดินมีพวกผลไม้ป่าเป็นลูกเล็กๆสีน้ำเงินแก่ผลไม้พวกนี้เราเรียกว่าลูก Heidelbeerมีรสชาติอร่อยมากรสหวานอมเปรี้ยว คนชอบเก็บมาทำแยม ,ทำขนมปาย,เครื่องดื่มหรือเอามาทำเหล้าลิเคอร์ที่มีแอลกอฮอล์แรงมากร่วม40%

Heidelbeeren   

เราเริ่มเดินเป๋กันแล้วเพราะทางอันตรายมากแคบเดินได้คนเดียวห้ามเดินมองส่ายไปมาไม่เช่นนั้นถ้าตกเขาลงไปข้างล่างถ้าตกแล้วถ้ารอดตายแล้วเลี้ยงไม่โตแน่ๆ  ลุงแกชี้ให้ดูตัวตุ่นสีฟ้าแต่ป้ามัวแต่เก็บลูกHeidelbeerกินเลยไม่ได้มอง แกเร่งให้เดินใหญ่เพราะเริ่มเย็นมากแล้ว

เราเดินขึ้นสู่ Fuorcla Val Champagna เป็นจุดที่สูงที่สุดของเส้นทางสายนี้  สูงประมาณ 2806 เมตร  ระยะทางที่เดินต้องคอยระวังรากไม้ของต้นHeidelbeer รากของมันชอนไชขึ้นเต็มไปหมด  ระหว่างทางที่เดินไปสู่ Chantalufทางเดินที่สูงประมาณ 1958 เมตร เพื่อที่จะลงไปสู่ Chuoz/Gravatscha ช่วงนี้จะเห็นความสูงที่แตกต่างกันได้อย่างชัดเจนร่วม 1100 เมตร ช่วงนี้มีต้นไม้ขึ้นเต็มไปหมดระหว่างทางที่เดินลงเราได้ยินเสียงเพลงลอยมาตามลม ดีใจกันมากคิดว่ารอดตายแล้ว เสียงลุงตะโกนบอกว่าเห็นหมู่บ้านเล็กๆอยู่ข้างหน้า  เป็นหมู่บ้านที่เราจะเดินทางกลับ เรารีบพากันจ้ำลงลืมความเหน็ดเหนื่อย  ระหว่างที่ลงเห็นแม่น้ำสายยาวทอดอยู่ข้างหน้าแม่น้ำนั้นชื่อแม่น้ำ Inn ยิ่งเดินลงสู่ข้างล่างเรายิ่งเห็นหมู่บ้านใหญ่ขึ้นต่างคนต่างเร่งทำสถิติเพราะใกล้จะค่ำแล้วไม่เช่นนั้นจะมีปัญหามาก  ความฝันต้องหลุดลอยเพราะทางที่เราเดินไม่ใช่ทางไปสู่หมู่บ้านเนื่องจากเขาสร้างทางใหม่จึงปิดกั้นไม่ให้เดิน  ถ้าเรารั้นตกหลุมลูกเดียวเพราะหลุมที่ขุดลึกมาก  พากันเดินกระเซอะกระเซิงผ่านเข้าสู่สนามบินที่เขาจัดแข่งเครื่องบินร่อนกัน ป้าแผ่สองสลึงเดินไม่ไหวขามันเมื่อยมาก ร่วม  6 ชมที่เดินกันมาและต้องเกร็งขาตลอด

ลุงเดินไปถามคนที่กำลังเช็คเครื่องร่อนถึงทางที่จะไปโรงแรมที่ Samedan  เขาบอกไม่มีรถเมล์หรือรถอะไรจะต้องเดินและใช้เวลาเป็นชั่วโมง เครื่องร่อนที่เห็นเขาบอกราคาประมาณคันละ 120 000 สวิสฟรังก์ ไปคูณเอาเองว่าเป็นเงินไทยเท่าไร ตั้งแต่ป้าเขียนเรื่องเงินสวิสแล้วเป็นโรคแพ้ตัวเลขมากเลย การบินนี้ห้ามเกิน 5 ชั่วโมงและนั่งได้คนเดียว ไม่ไหวHobby แบบนี้ขนาดจะกินยังจะอดตายไปซ่าเล่นกับเขาไม่ได้หรอก  เราสองคนเดินกระเซอะกระเซิงเลาะแม่น้ำInn ที่ไหลเชี่ยวจัดมาและเดินข้ามสะพาน ทางที่เราเดินมานั้นเป็นสถานีรถไฟที่อยู่ข้างหน้า เรารอรถเมล์นานมากจนแทบจะหลับคาป้าย

รถเมล์มาแล้วรีบขึ้นข้างหน้าเพื่อจ่ายเงิน คนขับเป็นหนุ่มหน้าตูม  นี่ขนาดอายุน้อยยังตูมแบบนี้ถ้าแก่จะตูมขนาดไหน  บอกเขาว่าจะไปลงที่โรงแรม Sporthotel เขาบอกไม่รู้จัก และถามว่าชื่อป้ายรถเมล์อะไรใครจะไปรู้ตั้งแต่กระเซอะกระเซิงมาที่Samedan ยังไม่รู้เลยว่าถนนชื่ออะไรบ้าง และลุงอธิบายเขาบอกเขาไม่ไปข้างบนหรอกเพราะถนนจะต้องปิดจะจุดไฟกัน  เราเดินกลับไปที่โรงแรมทางเดียวกับที่กระเซอะกระเซิงหิ้วกระเป๋ามาตอนเช้า ขณะที่เดินก็เห็นรถเมล์คันที่เราถามขับขึ้นมาทางเดียวกับที่เราเดินอยู่ คนขับยิ้มหวานมาก  ลุงหน้ามืดสุดขีดส่งเสียงด่าลั่นตาสะไตแก เซ็งมากกับSamedan   ตระกายเดินจนเห็นโรงแรมตั้งตระหง่านตรงหน้า  ป้าแล่นถลาไปดูป้ายรถเมล์ถึงรู้ว่ามันชื่อ ซ่าๆๆๆๆๆติดอยู่ข้างท้ายชื่อข้างหน้าลืมมันไปแล้ว ไปเอากุญแจมาจากที่เขาแขวนไว้ให้เราไปหยิบเอง   มองดูนาฬิกาจะ 2ทุ่มแล้วเลยรีบพากันเข้าห้องพักเพื่ออาบน้ำลวกๆลงมากินอาหารค่ำที่เขาเปิดบริการให้เราถึง 3 ทุ่ม ร่วม 7 ชั่วโมงที่เราเดินขึ้นเขาลงเขาเหนื่อยมาก

ห้องอาหารมีคนยืนต้อนรับแขกหน้าตายิ้มแย้มแจ่มใสมาก เราเดินไปข้างหลังสุดมีแต่แขกชาวเยอรมันมากินอาหารส่งภาษาโฮ๊กด๊อยซ์(เยอรมัน)ลั่นไปหมด สะไว้สะด๊อยซ์(ภาษาสวิสเยอรมัน)แบบเราเลยต้องหด  คนนั่งกินอาหารข้างๆโต๊ะเรากินอาหารแบบอ่อนเพลียระเหี่ยใจมาก  อาหารที่เขาเลี้ยงเราฟรีเป็นอาหารแบบ เมนู 4 อย่าง คนเสิร์ฟเป็นหญิงสาวเยอรมันหน้าตาสวย  อึ๋มมาก  ผมทองยาวสลวย

ชุดแรกเขาเสิร์ฟสลัด หลังจากเสิร์ฟเสร็จคนเสิร์ฟหายไปนานมาก  จนเราแทบจะเลียจานสลัดแล้วถึงมาเสิร์ฟต่อ

ต่อมาชุดที่2เอาซุบมาให้เรากินรอนานมาก  จนแทบจะเลียชามซุบถึงมา ลุงหิวจนตาลายเพราะทั้งซุบและสลัดที่กินไม่รู้ว่าไปแกว่งอยู่ตรงไหน ที่นี่เขาเสิร์ฟกินแบบผู้ดีมีอาหารน้อยมาก  จนโลโซแบบเราแทบจะเลียชามและกลืนชามเข้าปาก ระหว่างรอเมนูจานใหญ่ ป้านึกขึ้นได้ว่าวันนี้วันเกิดลุงเลยไปขอเทียนจากโต๊ะข้างๆมาจุดเทียนโต๊ะเราที่มีขนาดร่อแร่ คือจะหมดแท่งแล้ว เขาเลยบอกเอาไปเถอะเพราะจะกินไอศกรีมหมดแล้ว  ป้าถามเขาว่าเป็นไงบ้าง  เขาบอกว่าจะหลับคาโต๊ะ ตอนแรกไม่เชื่อนึกว่าเขาเว่อไป

อาหารหลักชุดที่3เป็นอาหารมันต้มมีอยู่ 5 ลูก มีปลาแล่เนื้ออยู่ 2 ชิ้นเล็ก มีแครอทอยู่5ชิ้นเล็กๆและผักอื่นๆ ลุงฟาดเร็วมากคงจะหิวจัดและบ่นว่ายังหิวอยู่
เรารอของหวานชุดที่4ชุดสุดท้ายรอของหวานจนทนไม่ไหวจะ 4 ทุ่มแล้วเขาถึงเอามาเสิร์ฟ  เชื่อแล้วว่าจะหลับคาโต๊ะจริงๆตามที่คนข้างๆบอก
ลุงเดินไปบ่นไปค่ากาแฟแก้วละ
CHF 4.50 แกแทบจะงาบถ้วยด้วยเลยแพงมาก และเหล้าไวน์แกบอกเปรี้ยวมากเหมือนน้ำล้างตีนแก้วเล็กนิดเดียวราคาตั้ง 8 สวิสฟรังก์  แกแทบจะหอบแก้วเหล้าไวน์กลับบ้านถ้าไม่กลัวเขาดีดออกมาเสียก่อน ที่นี่เขาเลี้ยงอาหารฟรีแต่อาหารอย่างอื่นต้องจ่ายเอง  เรารีบกลับขึ้นมาข้างบนเพราะ4 ทุ่มกว่าแล้ว ลุงบอกจะไปดูไฟที่หมู่บ้านที่เขาจัดขึ้นมาและเราไม่เคยมาที่นี่จึงอยากจะเห็นมากว่าจัดแตกต่างไปกว่าBern มากไหมเราทั้งคู่เพลียมากคิดว่าจะเอนกายสักพักแล้วจะออกไปดูไฟกันแต่กลายเป็นนอนเหยียดยาวแผ่2 สลึงหลับเป็นตายจนถึงรุ่งเช้า

Copyright © 2003 Pallswiss All Rights Reserved