ตอน3 <<<< Trip to Samedan >>>> Trekking Wandern ข้อควรรู้สำหรับการเดินเขา
1. รองเท้าสำหรับการเดินเขาโดยเฉพาะ
รองเท้าสำคัญที่สุดสำหรับการเดินเขาสูง ต้องใส่เดินหลายชั่วโมง ถ้าเดินแล้วรองเท้ามันกัดทรมานมากแทบจะเอารองเท้าขว้างทิ้งเลย พื้นรองเท้าและรองเท้าต้องกันน้ำได้ ก่อนจะซื้อต้องแน่ใจว่ารองเท้า ไม่ใหญ่จนเกินไปเดินทีรองเท้าแทบจะเดินน้ำหน้าตีนแบบนี้อย่าซื้อเด็ดขาด หรือซื้อของถูกๆใส่แล้วนิ้วตีนงอเลยเพราะต้องการประหยัดเงิน ก่อนซื้อรองเท้าเราต้องใส่ถุงเท้าสำหรับการเดินเขาโดยเฉพาะตอนลองเดินไปเดินมาจนแน่ใจว่านี่แหละใช่แน่ๆ และพอใส่ลองขยับนิ้วตีนว่าเป็นอย่างไร ถ้ารู้สึกว่าคับอย่าซื้ออ่านให้แน่ใจว่ากันน้ำได้และตอนเดินเขาเหงื่อออกรองเท้าจะมีกรรมวิธีระเหยเหงื่อหรือสิ่งชุ่มชื้นออกไปแบบแห้งไว 2.
แผนที่สำหรับการเดินเขา
3. ไม้เท้าเดินเขา ถุงเป้ เครื่องปฐมพยาบาล(ยา พลาสเตอร์) มีดพก
ไม้เท้า
ช่วยในการประคองตัวยามเดินขึ้นเขาสูงจะช่วงผ่อนแรงไม้เท้าไม่ควรจะให้สูงเกินไป 4. เครื่องหมายแสดงทางที่เขาบอกเพื่อใช้เดินเขา
A เครื่องหมายสีเหลืองเครื่องหมายแบบนี้หมายถึงการเดินทางไกลธรรมดา ทางที่เดินไม่มีอันตราย
B เครื่องหมายสีแดงขาวเครื่องหมายนี้ แสดงให้เรารู้ว่าเป็นการเดินทางขึ้นเขาสูงหนทางต้องระวังจะเดินชมนกชมไม่ไม่ได้ไม่เช่นนั้นตกเขาตายหรือเลี้ยงไม่โต ข้างบนภูเขาสูงเขาจะทาสีนี้บนก้อนหินเราต้องเดินตามที่เขาบอกอย่ารั้นอวดว่าเก่ง คนเดินจะต้องมีสภาพร่างกายพร้อม C อีกเครื่องหมายหนึ่งคือสีน้ำเงิน-ขาวคนเดินเขาต้องมีสภาพพร้อมทุกอย่าง เดินไปล้มไปห้ามไปเด็ดขาด หรือถ้าทะเลาะกับเมียห้ามมากเดี๋ยวจะคิดการร้ายขึ้นมา เพราะทางเดินจะสูงและมีอันตรายเกิดขึ้นได้ เส้นทางนี้ ห้ามแม้กระทั่งหมาเพราะอันตรายหมามันชอบวิ่งดีไม่ดีเจ้าของจะขี้มูกโป่ง
วันแรก..........ออกเดินทางผจญภัยบนเขาสูงFuorca val Champagna Muottas Muragl
Fuorca val Champagna อ่านว่า โฟรอูรคล่า วาว คัมปานย่า สูงประมาณ 2806 เมตร Muottas Muragl อ่านว่า มัวตาส มัวราย สูงประมาณ 2453 เมตร
วันที่ 1 สิงหาคม 2003
เหลือบดูนาฬิกาแล้วเราต้องรีบโกยแน่บออกจาก Sporthotel แทบไม่ทันเพราะจะบ่ายโมงแล้ว ยังไม่รู้เลยว่าเขาที่จะไปเดินหน้าตาเป็นอย่างไร
หัวหน้ากระเหรี่ยงทัวร์ก็คุ้มดีคุ้มร้ายกลัวพาตกเขามาก
ระหว่างที่ยืนรอรถเมล์ที่จะแล่นผ่านมาป้าต้องบังคับฉุดกระชากลากถูให้แกถ่ายรูปให้
เกือบจะตีกันเรื่องถ่ายรูปรถเมล์มาพอดีแกเลยรอดตัวไป รถที่นั่งเป็นรถ Post ดูสีก็รู้แล้วเพราะออกเหลืองเป็นสีจีวรเห็นมาแต่ไกล
เรารีบคว้าเป้สงบศึกชั่วคราวเพราะกลัวตกรถ
รถบัสค่อนข้างว่างมีคนนั่งอยู่แค่2หรือ3คนแต่ละคนบอกยี่ห้อว่าหลงมาจากที่อื่นแบบลุงกับป้าเด๊ะเลย เพราะมีทั้งเป้และไม้เท้า
คนขับเป็นหนุ่มใส่แว่นตาดำมีหนวดขึ้นหรอมแหรมหน้าตาบอกว่าเป็นคน
Buendner(บุ้นเน้อร์)
เราเรียกคนที่อยู่อาศัยแถบ Graubuendenแบบนี้
พี่แกมีหน้าตาค่อนข้างจะหุบแบบพระเอกหนังArnold Schwarzeggner
ไม่มีผิด ค่ารถบัสไม่แพงจนเกินไปลดครึ่งราคาเหลือประมาณ รถมาหยุดจอดรับคนที่สถานีรถไฟ Samedan ถึงแม้ไม่มีคนขึ้นแต่รถต้องหยุดรอรับคน พอถึงเวลารถเริ่มเคลื่อนตัวออกจากสถานีรถไฟย้อนกลับไปทางเดินแต่เลี้ยวโค้งออกนอกเมือง ระหว่างทางเราชมนกชมไม้ไปตามเรื่อง ชมแก้เซ็ง ต้นไม้ที่ขึ้นอยู่ข้างทางยืนแห้งเหี่ยวผิดปรกติผอมแห้งแรงน้อยเหมือนไม้เสียบผีลุงบอกเพราะร้อนจัด พอรถเริ่มแล่นผ่านเข้าเขต18หลุมป้าตะโกนอย่างดีใจ บ๊อบบี้นี่ไงไอ้
18 หลุมโหแต่ละหลุม โหเขียวมาก โห.... หลุม18หลุมสนามเขียวชะอุ่มมาก มีคนมาเล่นตีกอล์ฟกันสลอน มีร้านอาหารบริการด้วย ป้าตื่นเต้นมองดูหลุมกอล์ฟไม่วางตา ตั้งแต่เกิดมายังไม่มีวาสนาไปเหยียบหลุมพวกนี้ ได้แต่เหยียบอย่างอื่น คนขับคงจะเซ็งกลุ่มทัวร์กระเหรี่ยงมากเพราะเห็นแกขับรถเครียดผิดปรกติ จนรถมาหยุดที่ Punt Muragl เรายังนั่งกันอยู่อย่างเอ้อระเหย คนขับรีบไล่ให้ลงรถคงดีใจว่าหมดกรรมกับกลุ่มทัวร์อันนี้ เรารีบตาลีตาลานลงรถบัสแทบไม่ทัน เห็นคนยืนรอกันสะลอนเต็มไปหมดตรงหน้าช่องเล็กๆขายตั๋วรถไฟแดงขึ้นเขาMuottas Muragl คนขายตั๋วรูปร่างหน้าตาเหมือนพี่เลี่ยนตุ้ยนุ้ยมาก เห็นแกพูดๆๆ ฉีกๆๆตั๋วแล้วเหนื่อยแทน ถึงคิวเราพอดีลุงบอกซื้อตั๋ว 2 ใบมีบัตรลดครึ่งราคาแต่เขาไม่ให้เพราะรถไฟสายนี้เป็นของส่วนตัว ราคาคนละ 18 สวิสฟรังก์ราคาแพงมากจนเราแทบจะเดินขึ้นเขาแทนการนั่งรถไฟ แต่พอเห็นทางเดินที่จะเดินขึ้นเขาที่ลุงชี้ให้ป้าดูแล้วต้องรีบเปลี่ยนใจเข็ดจนขี้อ่อนขี้แก่มาตั้งแต่เช้าแล้ว แกบอกใช้เวลาเดินประมาณ 2ชั่วโมงครึ่งแต่เดินแบบเราต้องร่วม4ชม ป้าฟังแล้วเหี่ยวมาก ถ้าขืนเดินสงสัยต้องอาศัยดื่มนมวัวบนเขาแน่ๆ และไม่รู้ว่าจะมีวัวไหมเพราะมันสูงมาก เลยกัดฟันปลอมกันทั้งสองคนควักเงินตังเม.................ยาน.........ยืดออกจากกระเป๋าด้วยความเสียดายมาก
พอขายตั๋วเสร็จแล้วพี่ตุ้ยนุ้ยคนขายตั๋วรีบปิดเซพเงินลั่นกุญแจอันใหญ่มากคล้องกับเหล็กใหญ่ตรงช่องขายตั๋ว เรียกว่าคนที่จะมาขโมยเงินแกต้องยกธงขาวกราบลาไปเลื่อยเซพคนอื่นดีกว่า พอเขาอนุญาตให้ขึ้นรถไฟได้ป้าวิ่งพล่านไม่รู้จะขึ้นตู้ไหนดีเพราะอยากดูวิว เดินขึ้นๆลงๆจนลุงด่า เกือบไม่ได้ขึ้นแล้ว เพราะพี่เลี่ยนแกรำคาญมากรีบปิดประตูหมดเลย ตกลงเราได้ตู้ชั้นล่างสุดซวยสุดขีดเพราะมีกระดานอันใหญ่ปิดบังไว้ ตลอดทางที่ยืนมาลุงแกค้อนป้าพร้อมทำปากหมุบหมิบไปตลอดทางที่แกต้องรับกรรมที่แกไม่ได้ก่อร่วมกับป้า รถไฟแดงคันเล็กมีคนขึ้นเต็มไม่ว่าลูกเล็กเด็กแดงคนแก่หนังยานรวมทั้งเราด้วย สองฟากทางเป็นต้นสนขึ้นเต็มไปหมดเราเห็นเห็ดขึ้นแต่เป็นเห็ดชนิดกินไม่ได้ถึงแม้กินได้เขาห้ามเก็บเป็นกฎของที่นี่ถ้าขืนรั้นไปเก็บเขามาตรวจพบซวยแน่ๆโดนปรับอ่วมอรทัยมีคนเก็บได้จำนวนมากโดนปรับมาแล้ว 2000 สวิสฟรังก์ ที่เขต Bern เขาห้ามตั้งแต่วันที่1 ถึงวันที่7 ของทุกเดือน ที่นี่ตั้งแต่วันที่1 ถึงวันที่ 10ถ้าจำไม่ผิด
พอรถไฟจอดที่สถานีส่วนมากที่มานั้นไม่ได้มาเดินเท่าไรหรอกมาชมวิวและมากินอะไรข้างบนซึ่งมีโรงแรมและร้านอาหารในโรงแรมเปิดบริการ ป้าเห็นคนนั่งชูคอสลอนรอเขาย่างเนื้อส่งกลิ่นโชยยั่วกระเดือกลุงมากเพราะเห็นกระเดือกแกเต้นขึ้นเต้นลง ป้ากับลุงรีบพากันเดินเพราะต้องเดินกันหลายชั่วโมงและอีกอย่างไม่รู้จักทางกันเลย ช่วงแรกๆมีคนเดินกันพอสมควรทางที่เดินยังเรียบสบายเหมือนมาเดินเล่นกัน วิวสวยมากเลยหยุดถ่ายรูปกัน เราพากันเดินเลาะทางที่เริ่มสูงชันขึ้น ระหว่างสองข้างทางมีดอกไม้ภูเขาเล็กๆและพวกตะใคร่น้ำจับไปทั่ว อากาศบริสุทธิ์มากถึงว่าคนป่วยและพวกนักกีฬาชอบมาซ้อมกีฬาที่นี่เพื่อฟอกโลหิต
ลักษณะเส้นทางที่เราจะต้องใช้เดินเริ่มจากจุด Muottas Muragl สูง 2450 เมตร เดินตามเส้นสีแดงแล้วแยกเดินขึ้นไปยัง Piz Muragl เส้นทางที่เราเดินมีแค่ 2 คน ส่วนมากคนจะเดินไปอีกเส้นทางหนึ่งซึ่งอยู่ต่ำกว่าและมีทะเลสาบเล็กๆMuraglsee คนจะพากันไปปิกนิกและกินอาหารกันที่นั่น Muraglsee เส้นทางที่เราเดินเริ่มสูงชันและต้องคอยระวัง ตั้งแต่เราเดินมาไม่มีต้นไม้เลยเพราะเขาเริ่มสูงมาก ถ้าเขาสูงเกิน 1800ถึง 1900เมตรจะไม่มีต้นไม้ขึ้นแล้ว แต่บางแห่งอาจจะยังพอมีบ้าง ที่ต้นไม้ไม่ขึ้นเพราะความเปลี่ยนแปลงหลายต่อหลายอย่างที่มีผลกระทบ ทางยิ่งสูงชันและแคบมีแต่ก้อนหินต้องระวังต่อการลื่นมาก ทางที่เดินขึ้นจะมีเครื่องหมายทาสีบนก้อนหินบอกให้รู้เป็นเครื่องหมายสีแดงขาว จุดที่เดินขึ้นมาสูงที่สุดของ Muragl-Passhφhe Muragl Pass บ๊อบบี้ หยุดปวดท้องเยี่ยวมาก ดูต้นทางด้วยเผื่อมีใครหลงทางเดินมา
และเธอหันหลังห้ามดูชั้นเยี่ยวนะ
ทางที่เดินลงลำบากมากเพราะเป็นก้อนหินแบบนี้ตลอด ยิ่งเดินลงข้างล่างยิ่งเป็นหินก้อนเล็กๆที่ทำให้ลื่นตลอด ระยะทางเดินลงเขาสูงชันมากและแคบนิดเดียวถ้าไม่ระวังจะลื่นล้มได้ง่ายๆ รองเท้าเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดที่ช่วยเกาะก้อนหินพวกนี้ การเดินลงเขาที่สูงชันและเดินบนก้อนหินแบบนี้ไม่ดีต่อหัวเข่ามาก เพราะเราต้องเกร็งตลอดเวลา เท่าที่สังเกตดูพวกนักเดินเขาทั้งหลายพอแก่ตัวลงจะมีปัญหาเรื่องหัวเข่าเสื่อมมาก ในที่สุดเราก็เดินลงมาถึงข้างล่างซึ่งล้อมรอบไปด้วยหุบเขา ข้างล่างของป้านี่ยังอยู่บนเขาที่มีระดับความสูงประมาณกว่า2000เมตรอยู่ ทางที่เดินเต็มไปด้วยหนองน้ำที่เราเรียกว่าSumpf เรามองหาเครื่องหมายทาสีแดงขาวแต่มองไม่เห็น ช่วงนี้คนทำเครื่องหมายบอกทางแย่มาก เดินไปตกหลุมไปจนดูกันไม่จืดเลย
บ๊อบบี้ตั้งแต่เราเดินมาไม่เห็นหน้ามนุษย์คนอื่นเลยนะนี่ เส้นทางเส้นนี้มันดูพิกลๆอยู่นา ชั้นเคยคุยกับคนที่เขาเกิดที่นี่ก่อนจะเดินทางมา เขาบอกเส้นทางนี้ห้ามทำครึ่งวัน เธอแน่ใจนะว่าทำทัวร์ถูก โน่นๆเห็นแล้วเครื่องหมาย ป้ากับลุงต้องพากันตะเกียกตะกายปีนขึ้นข้างบนเพราะเราเดินหลงทางมาข้างล่าง เซ็งมากปีนไปด่าไปกับคนทำเครื่องหมายบอกทาง สงสัยตอนทำคงจะดวดเหล้าไวน์มากจึงทำเครื่องหมายขึ้นๆลงๆแบบนี้ หลังจากนั้นเราพากันเดินต่อไป ระหว่างทางได้ยินแต่เสียงสัตว์ป่าร้องเต็มไปหมด ลุงหยุดส่องกล้องดูกลุ่ม Steinbock(แพะภูเขา)ขณะส่องดูเพลินเราต้องตกใจมากเพราะไอ้ตัวที่เราส่องดูมันกระโจนข้ามหัวเราไปอย่างหวุดหวิด ลุงตกใจจนแทบจะหงายท้องเพราะกลุ่มนี้มีร่วม10 ตัว ถึงว่าลุงแกเตือนแล้วว่าเดินเส้นทางนี้ระวังพวกสัตว์พวกนี้
เยี่ยวแทบราดเพราะตกใจที่มันจู่โจมกระทันหัน ระหว่างทางที่เดินมีแต่หุบเขาและอากาศร้อนจัดมากผิดกับตอนอยู่ข้างบน ตั้งแต่เดินมายังไม่เห็นวัวเลยสักตัว บ่นยังไม่ทันจะขาดคำได้ยินเสียงวัวมันร้องทัก มอๆๆๆๆๆ วัวกลุ่มนี้มีแค่ 5 ตัวเอง สงสัยคงเป็นวัวพันธ์เอธิโอเปียเพราะผอมแห้ง หญ้าที่กินก็มีแต่เหี่ยวแห้งมาก วัวพวกนี้เป็นวัวที่นมไม่โต เห็นลุงบอกว่าเขาเลี้ยงไว้กินเนื้อแต่ป้าดูแล้วคงเลี้ยงไว้กินกระดูกมากกว่า วัวกลุ่มนี้ มันมองดูพวกเราทำตาปริบๆ บางตัวนอนอ้าซ่าไม่สนใจยอมลุกหนีเรา จนลุงต้องฉุดกระชากให้มันลุกขึ้น มันถึงได้ซังกะตายลุกป้าดึงแขนลุงให้เดินทางต่อ ระหว่างทางที่เดินมีพวกผลไม้ป่าเป็นลูกเล็กๆสีน้ำเงินแก่ผลไม้พวกนี้เราเรียกว่าลูก Heidelbeerมีรสชาติอร่อยมากรสหวานอมเปรี้ยว คนชอบเก็บมาทำแยม ,ทำขนมปาย,เครื่องดื่มหรือเอามาทำเหล้าลิเคอร์ที่มีแอลกอฮอล์แรงมากร่วม40% Heidelbeeren เราเริ่มเดินเป๋กันแล้วเพราะทางอันตรายมากแคบเดินได้คนเดียวห้ามเดินมองส่ายไปมาไม่เช่นนั้นถ้าตกเขาลงไปข้างล่างถ้าตกแล้วถ้ารอดตายแล้วเลี้ยงไม่โตแน่ๆ ลุงแกชี้ให้ดูตัวตุ่นสีฟ้าแต่ป้ามัวแต่เก็บลูกHeidelbeerกินเลยไม่ได้มอง แกเร่งให้เดินใหญ่เพราะเริ่มเย็นมากแล้ว
เราเดินขึ้นสู่ Fuorcla Val Champagna เป็นจุดที่สูงที่สุดของเส้นทางสายนี้ สูงประมาณ 2806 เมตร ระยะทางที่เดินต้องคอยระวังรากไม้ของต้นHeidelbeer รากของมันชอนไชขึ้นเต็มไปหมด ระหว่างทางที่เดินไปสู่ Chantalufทางเดินที่สูงประมาณ 1958 เมตร เพื่อที่จะลงไปสู่ Chuoz/Gravatscha ช่วงนี้จะเห็นความสูงที่แตกต่างกันได้อย่างชัดเจนร่วม 1100 เมตร ช่วงนี้มีต้นไม้ขึ้นเต็มไปหมดระหว่างทางที่เดินลงเราได้ยินเสียงเพลงลอยมาตามลม ดีใจกันมากคิดว่ารอดตายแล้ว เสียงลุงตะโกนบอกว่าเห็นหมู่บ้านเล็กๆอยู่ข้างหน้า เป็นหมู่บ้านที่เราจะเดินทางกลับ เรารีบพากันจ้ำลงลืมความเหน็ดเหนื่อย ระหว่างที่ลงเห็นแม่น้ำสายยาวทอดอยู่ข้างหน้าแม่น้ำนั้นชื่อแม่น้ำ Inn ยิ่งเดินลงสู่ข้างล่างเรายิ่งเห็นหมู่บ้านใหญ่ขึ้นต่างคนต่างเร่งทำสถิติเพราะใกล้จะค่ำแล้วไม่เช่นนั้นจะมีปัญหามาก ความฝันต้องหลุดลอยเพราะทางที่เราเดินไม่ใช่ทางไปสู่หมู่บ้านเนื่องจากเขาสร้างทางใหม่จึงปิดกั้นไม่ให้เดิน ถ้าเรารั้นตกหลุมลูกเดียวเพราะหลุมที่ขุดลึกมาก พากันเดินกระเซอะกระเซิงผ่านเข้าสู่สนามบินที่เขาจัดแข่งเครื่องบินร่อนกัน ป้าแผ่สองสลึงเดินไม่ไหวขามันเมื่อยมาก ร่วม 6 ชมที่เดินกันมาและต้องเกร็งขาตลอด
ลุงเดินไปถามคนที่กำลังเช็คเครื่องร่อนถึงทางที่จะไปโรงแรมที่ Samedan เขาบอกไม่มีรถเมล์หรือรถอะไรจะต้องเดินและใช้เวลาเป็นชั่วโมง เครื่องร่อนที่เห็นเขาบอกราคาประมาณคันละ 120 000 สวิสฟรังก์ ไปคูณเอาเองว่าเป็นเงินไทยเท่าไร ตั้งแต่ป้าเขียนเรื่องเงินสวิสแล้วเป็นโรคแพ้ตัวเลขมากเลย การบินนี้ห้ามเกิน 5 ชั่วโมงและนั่งได้คนเดียว ไม่ไหวHobby แบบนี้ขนาดจะกินยังจะอดตายไปซ่าเล่นกับเขาไม่ได้หรอก เราสองคนเดินกระเซอะกระเซิงเลาะแม่น้ำInn ที่ไหลเชี่ยวจัดมาและเดินข้ามสะพาน ทางที่เราเดินมานั้นเป็นสถานีรถไฟที่อยู่ข้างหน้า เรารอรถเมล์นานมากจนแทบจะหลับคาป้าย รถเมล์มาแล้วรีบขึ้นข้างหน้าเพื่อจ่ายเงิน คนขับเป็นหนุ่มหน้าตูม นี่ขนาดอายุน้อยยังตูมแบบนี้ถ้าแก่จะตูมขนาดไหน บอกเขาว่าจะไปลงที่โรงแรม Sporthotel เขาบอกไม่รู้จัก และถามว่าชื่อป้ายรถเมล์อะไรใครจะไปรู้ตั้งแต่กระเซอะกระเซิงมาที่Samedan ยังไม่รู้เลยว่าถนนชื่ออะไรบ้าง และลุงอธิบายเขาบอกเขาไม่ไปข้างบนหรอกเพราะถนนจะต้องปิดจะจุดไฟกัน เราเดินกลับไปที่โรงแรมทางเดียวกับที่กระเซอะกระเซิงหิ้วกระเป๋ามาตอนเช้า ขณะที่เดินก็เห็นรถเมล์คันที่เราถามขับขึ้นมาทางเดียวกับที่เราเดินอยู่ คนขับยิ้มหวานมาก ลุงหน้ามืดสุดขีดส่งเสียงด่าลั่นตาสะไตแก เซ็งมากกับSamedan ตระกายเดินจนเห็นโรงแรมตั้งตระหง่านตรงหน้า ป้าแล่นถลาไปดูป้ายรถเมล์ถึงรู้ว่ามันชื่อ ซ่าๆๆๆๆๆติดอยู่ข้างท้ายชื่อข้างหน้าลืมมันไปแล้ว ไปเอากุญแจมาจากที่เขาแขวนไว้ให้เราไปหยิบเอง มองดูนาฬิกาจะ 2ทุ่มแล้วเลยรีบพากันเข้าห้องพักเพื่ออาบน้ำลวกๆลงมากินอาหารค่ำที่เขาเปิดบริการให้เราถึง 3 ทุ่ม ร่วม 7 ชั่วโมงที่เราเดินขึ้นเขาลงเขาเหนื่อยมาก ห้องอาหารมีคนยืนต้อนรับแขกหน้าตายิ้มแย้มแจ่มใสมาก เราเดินไปข้างหลังสุดมีแต่แขกชาวเยอรมันมากินอาหารส่งภาษาโฮ๊กด๊อยซ์(เยอรมัน)ลั่นไปหมด สะไว้สะด๊อยซ์(ภาษาสวิสเยอรมัน)แบบเราเลยต้องหด คนนั่งกินอาหารข้างๆโต๊ะเรากินอาหารแบบอ่อนเพลียระเหี่ยใจมาก อาหารที่เขาเลี้ยงเราฟรีเป็นอาหารแบบ เมนู 4 อย่าง คนเสิร์ฟเป็นหญิงสาวเยอรมันหน้าตาสวย อึ๋มมาก ผมทองยาวสลวย ชุดแรกเขาเสิร์ฟสลัด หลังจากเสิร์ฟเสร็จคนเสิร์ฟหายไปนานมาก จนเราแทบจะเลียจานสลัดแล้วถึงมาเสิร์ฟต่อ ต่อมาชุดที่2เอาซุบมาให้เรากินรอนานมาก จนแทบจะเลียชามซุบถึงมา ลุงหิวจนตาลายเพราะทั้งซุบและสลัดที่กินไม่รู้ว่าไปแกว่งอยู่ตรงไหน ที่นี่เขาเสิร์ฟกินแบบผู้ดีมีอาหารน้อยมาก จนโลโซแบบเราแทบจะเลียชามและกลืนชามเข้าปาก ระหว่างรอเมนูจานใหญ่ ป้านึกขึ้นได้ว่าวันนี้วันเกิดลุงเลยไปขอเทียนจากโต๊ะข้างๆมาจุดเทียนโต๊ะเราที่มีขนาดร่อแร่ คือจะหมดแท่งแล้ว เขาเลยบอกเอาไปเถอะเพราะจะกินไอศกรีมหมดแล้ว ป้าถามเขาว่าเป็นไงบ้าง เขาบอกว่าจะหลับคาโต๊ะ ตอนแรกไม่เชื่อนึกว่าเขาเว่อไป
อาหารหลักชุดที่3เป็นอาหารมันต้มมีอยู่
5 ลูก
มีปลาแล่เนื้ออยู่ 2 ชิ้นเล็ก มีแครอทอยู่5ชิ้นเล็กๆและผักอื่นๆ
ลุงฟาดเร็วมากคงจะหิวจัดและบ่นว่ายังหิวอยู่
|
Copyright © 2003 Pallswiss All Rights Reserved |
||