ตอน- <<<< Trip to Brig-Visp-Buerchen-Ronalp >>>>
Brig-Visp-Buerchen-Ronalp
เดินทางจาก Brig - Visp เรารีบพากันไปหารถ Post ที่จอดอยู่หน้าสถานีรถไฟ ลุงแกรีบสั่งใหญ่ให้รอรถที่จอดข้างหน้าที่เขียนว่า Saas Fee คนรอเพื่อจะขึ้นรถเต็มไปหมดมีแต่ฝรั่งทั้งนั้น มีป้าเป็นคนต่างด้าวหัวถลอก(หัวล้าน)หลงมาคนเดียว แต่ละคนมองป้าแล้วอมยิ้ม ป้าเลยกระซิบถามลุงเบามากอยากรู้ว่าเขาทำไมอมยิ้มให้ป้า ลืมไปว่าแกหูไม่ค่อยดี “เธอพูดดังหน่อยได้ไหม พูดแบบนี้ใครจะรู้เรื่อง ขนาดพูดดังๆชั้นยังไม่ค่อยจะรู้เรื่องเลย”ป้าเซ็งมากเลยไม่ถาม แกหายหัวจ้อยไปเลยตั้งแต่ด่าป้าเสร็จ คนขับรถเมล์มาแล้วและบอกว่ารถคันนี้จะไม่แล่นตรงไป Saas Fee แต่จะหยุดถ้ามีคนขึ้นลง พวกขบวนฝรั่งที่รอรถอยู่ล้วนแต่เป็นพวกจ๊าบน้อยแต่แต่งตัวเริ่ดมาก พวกฝรั่งแก่ๆที่นี่ชอบแต่งตัวกันมาก ผมจะย้อมสีสวยมาก ไม่ว่าสีม่วง หรือสีอะไรสวยมากจริงๆ ลุงแกคงจะได้กลิ่นธูปอัญเชิญเลยมาได้ไม่รู้ว่าแกซ่าไปดูอะไรมา ป้ารีบไปนั่งข้างหน้าสุดเยื้องกับคนขับ พอลุงขึ้นตามมาจะบังคับให้ป้าไปนั่งตรงกันข้ามมีกระจกใหญ่ปิดด้านหน้าหมดซึ่งปิดป้องกันคนขับ เลยไล่ให้ไปนั่งคนเดียว แต่ไปไม่นานเห็นหอบเป้กลับมานั่งข้างๆป้าตามเดิมบอกมองไม่เห็นอะไร และเริ่มเห็นด้วยว่านั่งตรงนี้เห็นวิวดีกว่า เวลา 9.15 ตรง รถ Post ได้เคลื่อนตัวออกจากสถานี Brig ว่าไปสถานที่นี้ค่อนข้างใหญ่มาก และที่นี่เป็นจุดศูนย์กลางไปเที่ยวหลายแห่ง ไม่ว่าจะไป Sion, Zermatt,Laussane และอีกหลายแห่ง มีร้านค้ามากมายให้Shopping สถานที่เห็นมีเก่าแก่หลายแห่ง ดูแล้วไม่น่าเชื่อว่าครั้งหนึ่งสถานที่นี้โดนน้ำท่วมหนักทำความเสียหาย หลายล้านสวิสฟรังก์ คนสวิสได้บริจาคช่วยเหลือได้เงินหลายล้านสวิสไปช่วยคนเหล่านี้ รถ Post จอดทุกสถานี สถานีนี้มีคนขึ้นลงไปมาซึ่งส่วนมากเป็นคนที่อาศัยอยู่เขตนั้น ป้านั่งฟังเขาพูดภาษาท้องถิ่น Wallis แล้วนั่งตาดำ ภาษานี้ฟังยากมาก ได้ยินเขาพูดโละเละไปหมด ระหว่างทางที่นั่งมามองไปข้างบนจะเห็นเส้นทางรถไฟสายที่ขึ้นมาทอดยาวบนเขาที่สร้างอ้อมเขาทั้งลูกทอดยาวเห็นชัดจากข้างบนลงล่าง อย่าลืมว่าป้านั่งย้อนจาก Brig เส้นทางเดิมเพื่อไป Visp รถPost ได้พาเราแล่นเข้าสู่หมู่บ้าน Visp ที่เราเห็นจากข้างบนเขา หมู่บ้านนี้ใหญ่มากมื่อได้เข้ามาสัมผัส Visp รถPost ได้มาหยุดส่งผู้โดยสารตรงหน้าสถานีรถไฟ ทุกคนต่างพากันลงจากรถ คนขับบอกลุงว่าอีกสักพักรถอีกคันหนึ่งจะมาจอดคันนั้นใช่แน่เป็นคันที่จะพาไป Buerchen ระหว่างที่รอรถป้ามองดูสถานีรถไฟ Visp เห็นรถไฟกำลังแล่นมาเป็นรถไฟสีแดงเขียนคำว่าFurkabahn รถPost คันที่เรารอแล่นมาจอด พอผู้โดยสารลงเรารีบขึ้นไปนั่งข้างหน้าเลย คราวนี้ลุงมานั่งข้างๆไม่ยอมไปนั่งตรงกระจกอีกต่อไปสงสัยคงเข็ด รถPost คันที่เรานั่งสวยและสภาพใหม่มาก คนขับรถเป็นหนุ่มหน้าตาหล่อแบบพระเอกหนังและนักร้อง โรบิน วิลเลี่ยม แถมใส่แว่นตาดำเสียด้วย ทางที่ขับขึ้นไปแคบมากขับได้แค่คันเดียว ระหว่างที่ขับจะต้องส่งสัญญาณตลอดเป็นเสียงแตรของรถPost ทางที่ขับขึ้นเขาต้องขับอ้อมเขาหลายลูก วิวสวยมากล้อมรอบไปด้วยเขา คนขับรถบอกลุงว่าถ้าเป็นหน้าหนาวจะไม่มีแดดเลยแถวนี้ คนขับรถเส้นทางนี้จะต้องชำนาญทางมาก เห็นคนขับส่งสัญญาณบอกศูนย์กลางตลอดเวลา เส้นทาง ที่รถพาไปจะลดเลี้ยวโค้งไปมาตลอดเวลา บางครั้งป้าหัวใจจะหล่นไปที่ตาตุ่มเพราะทางแคบมากและยิ่งตอนรถเลี้ยวโค้งเหมือนจะพุ่งตกเขา Zenneggen รถพาแล่นผ่าน Zennegen เป็นหมู่บ้านที่สวยและขึ้นชื่อมากมีนักท่องเที่ยวมาที่นี่มากมาย คนที่มาเที่ยวต้องจัดว่าเป็นคนที่รักธรรมชาติจริงๆจะมาทำเป็นรักแบบคุ้มดีคุ้มร้ายรักเป็นบางอารมณ์อย่ามาเลย ที่นี่เงียบสงบมาก มีสัตว์ป่ามากมายและดอกภูเขาที่ขึ้นหน้าร้อนสวยงามมาก รถพาเราแล่นผ่านไปเรื่อยๆจนเห็นข้างหน้าเป็นหมู่บ้านใหญ่ตั้งอยู่ลุงบอกนั่นคือหมู่บ้าน Buerchen เป็นหมู่บ้านค่อนข้างใหญ่โตมีบ้านพักแรมให้คนมาเช่าหลายแห่ง คนขับรถพาเราเดินทางแบบใจหายใจคว่ำไปเลยผ่านไปข้างบนเขา จนถึง ป้ายจอดที่เขียนคำว่าRonalp เป็นเขตเล็กๆมีบ้านคนอยู่ไม่กี่หลังตั้งอยู่บนความสูง 2380 เมตร คนขับได้บอกให้เราลง เมื่อลงมาแล้วยืนเซ่อสักประเดี๋ยวถึงได้เห็นร้านขายเครื่องดื่มและอาหารตั้งอยู่ข้างหน้าชื่อร้าน Ronalp Restauant /Ferienhaus ซึ่งจะเป็นร้านขายอาหารและให้คนมานอนพักค้างคืนเพื่อเดินเขาและเล่นสกีหน้าหนาว คิดกันว่าถ้าดื่มกาแฟก่อนออกเดินทางคงจะทำให้เกิดความกระชุ่มกระชวยเป็นแน่ Restaurant เราเดินดูป้ายแปะติดข้างฝาใส่กระจกป้องกันแข็งแรงมาก การเดินทางไปไหนมาไหนที่สวิตช์เขาจะบริการดีเยี่ยมจะมีการบอกทางให้เรารู้ถึงระยะทางและเวลาที่กำหนดให้รู้ว่าต้องใช้เท่าไรที่เขียนบอกทางให้พวกนักเดินเขาไปยังสถานที่ต่างๆซึ่งมีมากมายหลายแห่งให้เราใช้เดิน ลุงชี้ทางบอกถึงเส้นทางที่จะเดินวันนี้ป้าเห็นแล้วเหนื่อยมากเพราะทางที่จะเดินคดเคี้ยวมาก เพื่อไม่ให้เสียเวลาเราพากันเดินไปร้านกาแฟที่เห็นข้างหน้า คนเงียบผิดปรกติ เดินเปิดประตูเข้าไปข้างในโล่งว่างไม่มีคนเลยหมาสักตัวก็ไม่เห็น ลุงตระโกนร้องเรียก “ยู้ฮูๆๆๆๆๆๆๆๆมีใครอยู่บ้างจะดื่มกาแฟ ยู้ฮูๆๆๆๆ” สักพักมีคนเดินออกมาเป็นชายหนุ่มอายุค่อนข้างจะจ๊าบน้อยหน่อย แกเดินหน้าง้ำมาเลย “ได้ยินแล้วพี่ ไม่ต้องตระโกน และใครเขาให้เข้าทางก้นร้านล่ะ ข้างหน้ามีบันไดทำไมไม่ไป นี่เป็นข้างหลัง แบบนี้จะเจอใครล่ะพี่ ”ลุงเจอคนจริงเลยจ๋อย และกำลังจะก้าวออกจากร้านพร้อมบอกเจ้าของร้านว่างั้นไปเข้าข้างหน้าร้านก็ได้เขาเลยมายืนขวางแกไว้บอกให้ลุงเดินตามมาห้ามแตกทาง สถานที่ที่เจ้าของร้านพาเดินไปข้างหน้ามีคนนั่งไม่กี่คน บางคนกำลังดื่มโค้กและก๊งเหล้าตั้งแต่เช้านี่สงสัยพี่แกคงจะดวลเหล้าไว้มากเมื่อคืนเลยมาถอนดื่มล้างหน้า เห็นใส่กางเกงสีส้ม(สีเครื่องแบบคนทำงานบนถนน) ข้างในบรรยากาศแย่มากค่อนข้างจะแคบและอึดอัดบอกไม่ถูก มีพวกหัวสัตว์ที่เขายิงมันแล้วแขวนเต็มไปหมด ที่สวิตฯเขาจะอนุญาตให้ยิงสัตว์ป่าได้แต่ต้องมีใบอนุญาตและห้ามยิงเกินที่เขากำหนด ใบอนุญาตแพงมากป้าเคยไปเห็นเขาไปล่าสัตว์กัน จะมีหมาช่วยดมกลิ่นด้วย เดือนกันยานี่จะได้ยินเสียงปืนบางแห่งดังสะท้านหุบเขาเลย ร้านที่เราดื่มกาแฟเขาทำเป็นโรงแรมด้วย ที่นี่จะมีคนมาพักตลอดปีเพราะเป็นย่านที่มีชื่อเสียงมากนักท่องเที่ยวรู้จักกันทั่ว หน้าร้อนมาเดินเขากันหน้าหนาวมาเล่นสกี หลังจากดื่มกาแฟรู้สึกกระชุ่มกระชวยดีขึ้นกว่าเก่า เราเลยรีบพากันออกจากร้านกาแฟเพื่อจะได้เริ่มเดินทางกันเสียที ลุงพาเดินขึ้นไปตามป้ายที่เขียนบอกไว้ว่าเส้นทางนี้จะพาไปสู่ Zeneggen ทางที่เดินขึ้นไปครั้งแรกเป็นทางค่อนข้างจะสูงชันนิดหน่อยและเป็นทางที่ทำขึ้นมาใหม่เขาใช้เศษไม้มาปูพื้นให้คนเดินและขายทางให้กว้างขึ้น ทางที่ทำขึ้นมานี้เขาเรียกว่าDie Eichhoernchen Weg ทางเดินนุ่มเหมือนเดินไปบนพรม ข้างๆทางจะมีเรื่องราวเล่าถึงการดำรงชีวิตของพวก Die Eichhoernchen (กระรอก) ระยะทางของ Die Eichhoernchen Weg มีระยะทางไม่ยางเท่าไรกะคร่าวๆไม่ถึงกิโลเมตร Eichhoernchen ป้ากำลังอ่านเกี่ยวกับเรื่องราวของกระรอกต้องรีบหยุดแบกสะพายเป้ตามเดิมเพราะเสียงลุงด่าฝากกับสายลมมา หันหลังไปมองอีกที่เห็นสองคนผัวเมียเดินอมยิ้มกันมาแต่ไกล สงสัยคงได้ยินเสียงด่าของลุงที่สายลมพัดพาไปให้ได้ยินต่อ เซ็งมากจริงๆนี่จะไปไหนมาไหนเหมือนไปเดินตามควายที่หายไป จะหาหรือศึกษาความรู้ไม่ได้เลย “=yhl’;l =yho5k, ชั้นถามหน่อยจะอ่านไปทำไม กระรอกนี่ไม่เคยเห็นเหรอ อย่าบอกนะว่าจะเอา ไปเขียนไม่มีคนเขาสนใจกระรอกบ้าๆหรอกghk;;,;; F.. Sh.........i...........t เดินไปตรงไหนฟะ ’’ เสียงแกเปิดกางแผนที่และด่าลอยลม “บ๊อบบี้ มีคนเดินมาเธอถามเขาซี เขาอาจจะรู้ก็ได้นะมัวแต่มาหาแผนที่เมื่อไรจะได้ไปเสียที” “ชั้นไม่ถาม ชั้นหาเองก็ได้ ถ้าเธออยากถามก็ไปถามเอง” ป้ารำคาญมากที่แกหยิ่งและซ่าไม่เข้าเรื่อง ขืนรอแกหาคงจะใช้เวลานานมากเลยถามสองคนผัวเมียเมื่อเขาเข้ามาใกล้ “Gruezi mitenant(คำทักสวัสดีใช้กับคน2คนขึ้นไป) เราจะไปยังที่ Toerbel กันแต่เราไม่ชินกับที่นี่ เราไม่รู้ว่าจะใช้เส้นทางไหนดี มันมีหลายทาง บ๊อบบี้ๆ” ป้าต้องไปฉุดกระชากลากลุงมาแกยืนหน้าง้ำรออยู่ แกเดินตามด่าด้วยที่ไปดึงเสื้อหล่อตัวที่ใส่ไป Samedan มาเสื้อตัวนี้ใส่จนตัวยานยืดไม่รู้ว่ายานจากการดึงของป้าหรือยานเพราะใส่มาก โชคดีมากเพราะสองคนผัวเมียที่เราถามเขาชำนาญทางนี้มาก ผัวเป็นคนที่เกิดที่นี่และโตที่นี่ ทุกปีจะกลับมาหาแม่และมาพักร้อนเดินเขาที่นี่จึงชำนาญมาก และทั้งสองคนอยู่ที่ Luzern ลุงแกเลิกด่าแล้วเพราะเริ่มคุยถูกคอกันมาก ผู้ชายตอนหลังถึงรู้ว่าชื่อ Herr Beat Stierli และเมียชื่อ Helene สองคนนิสัยดีมาก
เส้นทางที่ให้คนมาเดินทางมีให้เลือกด้วยกัน 7 แห่งแต่ละแห่งเขาจะบอกเครื่องหมายทางเดินให้รู้ว่าลำบากอันตรายไหม และใช้เวลาในการเดินเท่าไร Herr Stierli ได้บอกเราว่าควรจะเลือกใช้เส้นทางหมายเลข 6 ดีกว่า เขากางแผนที่พร้อมทั้งชี้การเดินทางให้ดู เส้นทางนี้ชื่อว่า Rundweg Hellela – Diebjen เป็นเส้นทางหมายเลข6 เป็นเส้นทางที่จะพาเราเดินเข้าป่าตลอด และความจะเดินใช้เส้นความสูงชันประมาณ 360 เมตร เห็นสองคนผัวเมียบอกว่าหน้าใบไม้ผลิที่นี่สวยมากมีดอกไม้มากมายบางอย่างหาดูไม่ได้ที่เขตBern เช่น ดอก Suedalpine Tulpe Suedalpine Tulpe ทางที่เดินจะเป็นทางที่ลุงแกบอกว่าเดินชมนกชมไม้คนแก่อายุ 90 ปีจะเดินกันอย่างสบายมาก ตอนแรกป้าเชื่อแกนึกว่าจริงหลงตามมาที่ไหนได้เดินจนขากางเลยอยากดีดแกมาก ทางที่เดินจะค่อนข้างสูงสันแต่ไม่ค่อยมีอันตรายเท่ากับการเดินเขาที่ผ่านๆมา วันนี้เป็นวันที่พักรบทำสงครามหูกันหนึ่งวันเต็มๆ เราต่างพากันแยกเดินคนละคู่ ป้าเดินคุยกับ Helene ไปตลอดทางเธอเป็นคนน่ารักและติดดินมาก จนกระทั่งถึงจุดที่สูงที่สูงที่สุดของเส้นทางนี้ประมาณ 1600 เมตรสูงกว่าน้ำทะเล จากวิวตรงนี้สามารถมองเห็นวิวของ Visperterminen ได้อย่างชัดเจน Visperterminen Visperterminen เป็นหมู่บ้านเล็กๆตั้งอยู่บนความสูง 1378 เมตรกว่าระดับน้ำทะเล สถานที่แห่งนี้เป็นที่รู้จักกันดีในสวิตเซอร์แลนด์ สำหรับการมาพักฟื้น และเป็นสถานที่ที่ปลูกองุ่นทำเหล้าไวน์ที่สูงที่สุดในยุโรปจะเห็นไร่องุ่นปลูกยาวเป็นแถวไปหมด และเหล้าไวน์ที่ปลูกที่นี่มีชื่อเสียงมากคือเหล้าไวน์ขาว Heida ถ้าใครมาเที่ยวแถวนี้อย่าลืมไปแวะที่ Visperterminen ให้ได้ ที่นี่มีที่เที่ยวที่น่าสนใจหลายแห่ง และสำหรับนักเดินทางไกล
การเดินทางช่วงนี้จะเห็นวิวสวยมากมายเช่นวิวของ Saas Fee และ Mischabel-Dom เราเดินกันไปคุยกันไปจนถึง Riebe จุดนี้ลุงกับป้าได้เดินทางกันตามลำพังเพราะทั้ง Helene และ Herr Beat Stierli ได้พากันเดินทางแยกไปข้างบนเพื่อไปกินอาหารที่โน่น ลุงกับป้าแยกเดินทางลงมาข้างล่างซึ่งเห็นกระท่อมก่อสร้าง แบบชาว Wallis ปลูกไว้หลายหลัง ระหว่างที่นั่งกินกันนั้นถึงได้เห็นวัวดำหลายตัววิ่งขวิดกันไปมา วัวดำเหล่านี้เราจะเรียกมันว่า Eringer วัวดำพวกนี้จะมีเลี้ยงภาคนี้เท่านั้นเพราะเขาใช้ในการต่อสู้ซึ่งจัดขึ้นทุกปี ป้ากับลุงยังคิดจะมาดูแต่อากาศแย่มากฝนตกเลยเปลี่ยนใจจะมาดูใหม่ปีหน้า
พอลุงกับป้ากินกันอิ่มกันแล้วต้องรีบเตรียมตัวเพื่อเดินทางไปที่ Burge เราต้องทำสถิติแข่งกับเวลาไม่เช่นนั้นจะตกรถได้ ระหว่างทางที่เดินไม่เห็นอะไรมากนักเพราะมีแต่ต้นไม้ จนกระทั่งเดินใกล้ Toerbel ใครมาที่นี่จะเห็นบ้านทรง Wallis เก่าก่อสร้างสวยงามมาก หลังคาบ้านบางแห่งทำด้วยหินแกรนิตใหญ่เอาไม้มาทับมัด เรามารอขึ้นรถPost หน้าโบสถ์ที่มีหอนาฬิกาให้ดูเวลา และตรงข้ามกันจะเป็นที่ทำการไปรษณีย์ช่วงที่เรารอรถอยู่นี้เขาปิดทำงาน อากาศวันนั้นร้อนจัดมากป้าเลยถือโอกาสซื้อไอศกรีมกินระหว่างรอ ส่วนลุงแกไปนั่งฟัดไข่ของแกอยู่ ไปไหนมาไหนจะต้องพกไข่ติดตัวมาตลอดไข่ที่ป้าพูดถึงเป็นไข่ต้มที่ซื้อมาจาก Migros ไม่ช้ารถPost ก็แล่นมารับเราสองคน คนขับท่าทางใจดีมากหน้าตายิ้มระรื่นผิดกับทัวร์ที่ลุงจัดไปทางแถบ Engadin ราวฟ้ากับดิน ในรถมีคนนั่งแค่ 3 คน คนที่นั่งมาเป็นหญิงแก่ยิ้มฟันหลอเหมือนป้าเลย ระหว่างทางลุงคุยจ้อกับคนขับไปตลอดทาง ป้านั่งฟังบ้างไม่ฟังบ้างเพราะเหนื่อยมาก ได้ยินแว่วๆว่ารถPost เส้นทางนี้เริ่มเปิดใช้เมื่อปี 1957 และเริ่มขับออกทำงานตั้งแต่ ตี4 ไม่ว่าจะเป็นฤดูไหนคนขับจะต้องตื่นมารับคนที่รออยู่ตอนตี 4 ทุกวัน คนเหล่านี้จะไปทำงานข้างล่างที่เป็นโรงงาน วิวที่รถ Post ขับพาเราลงข้างล่างวิวสวยมาก ระยะของเส้นทางนี้ยาวประมาณ 9 กม. เป็นเส้นทางที่โค้งไปมาตลอดเวลา รถได้พาเรามาส่งที่สถานีรถไฟ Stalden-Saas เพื่อขึ้นรถไฟไป Brig รถไฟเส้นทางที่เราจะขึ้นนี้ต้องใช้ฟันเฟืองเข้าช่วยเพื่อพาลงไปข้างล่าง มีคนรอขึ้นรถไฟเป็นจำนวนมาก เห็นรถไฟสีแดงแล่นเข้ามาข้างๆโบกี้เขียนว่า Zermattbahn ทุกๆคนต่างรีบขึ้นรถไฟเพื่อจองที่นั่งกัน เวลา 15.08 น.ตรงรถไฟค่อยๆเคลื่อนตัวออกจากสถานี Stalden-Saas ข้างๆทางที่รถไฟแล่นผ่านจะเห็นแม่น้ำสายใหญ่ มีน้ำสีขุ่นเขียวซึ่งมาจากธารน้ำแข็งที่มาจาก Zermatt - Brig station เวลาประมาณ 15.30 น รถไฟได้พาเราแล่นมาจอดที่หน้าสถานีรถไฟ Brig เราสองคนเดินกันอย่างเอ้อระเหยลอยชายในขณะที่คนอื่นๆต่างพากันวิ่งเหมือนตามควายกัน ป้ากับลุงคิดกันว่าจะวิ่งไปทำไมถึงอย่างไรก็ไม่ทันรถไฟแน่ๆ ป้าเดินนำหน้าไปที่ชานชาลาสาย4 เผอิญสายตาเหลือบไปเห็นคนยกสัญญาณให้รถไฟออกและเห็นรถไฟสายที่เราต้องการจะขึ้นพอดี ป้าเรียกลุงใหญ่เราสองคนวิ่งจนหางจุกตูดแค่ 1 นาทีเองต้องทำสถิติโลกวิ่งขึ้นรถไฟให้ได้ คนตรวจตั๋วเป่านกหวีดใหญ่และทำมือให้เราขึ้น เราต้องพากันกระเซอะกระเซิงไปหามี่นั่งสาย2 กัน โบกี้ที่เราขึ้นมานั้นเป็นของชั้นหนึ่ง เดินกันไปหัวเราะกันไปโชคดีมากที่รถไฟมาช้ากว่ากำหนด รถไฟสายนี้จุดหมายปลายทางที่จะไปคือ Basel เราหาที่นั่งได้แล้วดีใจมาก ระหว่างทางที่เรามองดูวิว จะเห็นเส้นทางที่เราลงมาจากข้างบนได้ดีเพราะเส้นทางที่รถไฟพาไปเป็นเส้นทางตรงกันข้ามกับที่เราลงมา สามารถเห็นหมู่บ้าน Buerchen ราเดินทางขึ้นไปตอนแรก รถไฟสายนี้แล่นออกจากBrig ด้วยความเร็วประมาณ 160/ กม. โชคดีมากที่ไม่ได้จอดทุกสถานี รถไฟจะแล่นโดยไม่หยุดจนกระทั่งถึงสถานี Spiez หลังจากนั้นมาหยุดอีกครั้งที่ Thun ทะเลสาบ Thun วันนี้มีเรือใบมาเล่นเต็มไปหมดเพราะอากาศดีมาก เรานั่งมาจนถึง Bern จุดหมายปลายทางต่อคือ Koeniz ดีใจมากที่ได้กลับถึงบ้านเพราะเดินทางเหนื่อยมากเหลือเกิน HOME SWEET HOME DANKE an Helene und Beat Stierli fuer Information
|
Copyright © 2003 Pallswiss All Rights Reserved |
||