News:

ยินดีต้อนรับ สู่ Pall Swiss เว็บบอร์ดตัวใหม่

Main Menu

คุณแม่คนไทยในสวิส

Started by เขมรน้อย, November 06, 2005, 06:30:21 AM

Previous topic - Next topic

เขมรน้อย

เมื่อไม่นานมานี้ได้อ่าน คสคส คอลัมน์ที่คุณกานดาเธอเขียนเกี่ยวกับแม่ของเด็กไทยในสวิส อ่านแล้วตะหงิด ๆ ใจ คิดว่าจะเขียนไปอธิบายความจริงหลาย ๆ อย่างที่ใครหลาย ๆ คนที่เมืองไทย ไม่เคยได้ประสบแต่ได้อ่านเพียงแค่จากคนไม่กี่คนแล้วก็ตัดสินพวกเราในทางลบ แต่กะว่าจะรอดูอารมฌ์ของตัวเองก่อน เพราะเราเขียนอะไรก็ค่อนข้างจะแรงและตรง แต่เราก็ต้องการความตรงที่ไม่แรงของเรา ซึ่งก็พอจะมีอยู่เหมือนกัน  เพื่อนที่ได้อ่านใครมีความคิดเห็นอย่างไร ดูแลลูกอย่างไรให้คงความเป็นเด็กไทยให้มากที่สุด ลองมาแชร์กันดูซิค่ะ ได้ความรู้และประสบการณ์ของความเป็นแม่ของเพื่อน ๆ ก็จะดี เขมรน้อยจะได้ไม่เอาแต่ความเห็นตัวเองไปเขียนค่ะ ขอบคุณมากค่ะ  
 

**กระทู้นี้เป็นกระทู้เดิมหมายเลข 0958 ห้อง pallswiss (เผื่อใช้ในการค้นหา)**

pall

สวัสดีจ๊ะเขมรน้อย
 ป้าไม่ได้เป็นสมาชิกคู่สร้างคู่สม
 อยากเห็นข้อความที่คุณกานดาเขียนมากเลย
 ขอความกรุณาให้เขมรน้อยช่วยนำข้อความทั้งหมด
 มาช่วยลงให้อ่านได้ไหมจ๊ะอยากอ่านมากจริงๆ
 ขอบใจมาล่วงหน้า

บัวขาว

อยากอ่านด้วยคน พี่เขมรเอาลงให้อ่านบ้างดิ ขอบคุณค่ะ
 

เขมรน้อย

ขอเวลาหน่อยน่ะค่ะ ต้องไปค้นอีกที สัญญาว่าจะเอามาให้อ่านค่ะ  และจะขอความเห็นจากทุกคนด้วยค่ะ จะก็อปลงในเมล์ที่จะส่งให้คุณกานดาเธอด้วยค่ะ แต่ขอบอกไว้ก่อนว่า จุดประสงค์เพื่อต้องการทำความเข้าใจกับคนไทยทุกคนที่ได้อ่าน แต่ไม่ได้เคยมีประสบการณ์อย่างที่เรามีค่ะ ไม่ต้องการทะเลาะ หรือแก้ตัวแทนหรืออะไรทั้งนั้น แต่ต้องการให้เขาทราบว่าเรายังเป็นคนไทย ที่รักความเป็นไทยค่ะ และพยายามอย่างยิ่งยวดที่จะให้ลูกของเรารักษาความเป็นไทยไว้และคิดว่าใครหลาย ๆ คนที่นี่ก็คงจะรู้สึกเหมือนเขมรน้อยค่ะ รอนิดหน่อยน่ะค่ะ

เขมรน้อย

คสคส ปีที่ 26 ฉบับ 509 ประจำวันที่ 10-20 ตุลาคม ทศ 2  2548
 คอลัมน์ ภรรยาพาที หัวข้อ คนไทยพูดไทย
 
 เขมรน้อยเห็นด้วยแทบทุกหัวข้อที่คุณกานดาเธอเขียนมาทั้งหมดยกเว้นอยู่วรรคหนึ่งที่ว่า
 
 ทีนี้ไปดูภาษาไทยในต่างประกันบ้างค่ะ    ครูไทยคนหนึ่งในสวิสเล่าว่าเดี๋ยวนี้คนไทยที่นั่นไม่ค่อยเห็นความสำคัญของภาษาไทยด้วยเหตุผลต่าง ๆ นา ๆ เช่น   กลัวลูกจะสับสนเรื่องภาษาเพราะพ่อพูดอีกภาษาหนึ่ง แม่พูดอีกภาษาหนึ่งเลยตัดสินใจให้ลูกพูดภาษาของประเทศนั้นอย่างเดียว
 กลัวลูกจะรู้ไม่เท่าทันเด็กอื่นในท้องถิ่นที่อาศัยอยู่ มัวแต่พูดภาษาไทยบ้างฝรั่งบ้าง เลยตามฝรั่งไม่ทัน
 
 รู้สึกอายหรือไม่ทันสมัย ที่อุตส่าห์บินมาไกลข้ามทวีปมา ยังมัวแต่พูดภาษาเดิมอยู่อีก ต้องออกสำเนียงฝรั่งชัดไปเลยลืมภาษาไทยไม่ว่า บางคนคงจบประถมมาจากเมืองไทย ซึ่งหมายความว่า พูดไทยได้ชัดแจ๋ว แต่ไปอยู่สวิสได้สองปี พูดไทยไม่ค่อยได้เสียแล้ว คนไทยพูดด้วยกลับตอบกลับเป็นภาษาฝรั่งทั้งที่พูดฝรั่งก็ยังไม่ค่อยได้นั่นแหละ อย่างนี้ตั้งใจลืมแน่นอน คิดว่าผู้ใหญ่คงเสี้ยมสอนไว้ไม่ใช่ความคิดบริสุทธิ์ของเด็กแน่นอน ไม่พูดไทยเพราะกลัวถูกล้อว่าเป็นเด็กต่างชาติ ข้อนี้เห็นใจเด็ก สิ่งที่เด็กกลัวที่สุดคือการถูกเพื่อนล้อเลียนหรือไม่ยอมรับเข้ากลุ่ม ผู้ใหญ่ต้องช่วยเหลือมากหน่อย ผู้ใหญ่เองก็ไม่อยากพูดไทย เวลาเจอคนไทยทำเป็นเฉยหรือเลื่ยงพูดภาษาอื่น ไม่อยากทักทาย กลัวมาขอความช่วยเหลือ กลัวมาคุ้ยประวัติ กลัวตีสนิทแล้วเอาไปนินทาต่อ คงจะเบื่อนิสัยคนไทย อุตส่าห์หนีไปนอกแล้วยังตามมารังควานอีก เวลาเจอคนไทยจะต่างคนต่างกลัวกัน ไม่ไว้ใจกัน ไทยยังกลัวไทย แล้วชาติไหนจะไม่กลัวเรา
 
 นี่ล่ะค่ะที่ตัดออกมาส่วนที่เขมรน้อยรู้สึกตะหงิดตะหงิด มันไง ไงอยู่น่ะ มีส่วนจริงไม่ถึงสิบเปอร์เซ็นต์ และเขมรน้อยต้องการความเห็นจากหลาย ๆ คน ว่าเคยเจอบ้างใหม ยอมรับว่าเคยเจอ แต่ น้อยมาก น้อยจริง ๆ และจากที่ประสบมา ไม่จริงค่ะ ใช่ค่ะ พวกเรากลัวกันเอง ระแวงกันเอง แต่มันไม่ใช่อย่างที่ว่าซะมากกว่าใช่ ทำไมไม่เอา*เปอร์เซ็นต์ที่มากกว่ามาเขียนค่ะ

เขมรน้อย

ขอเริ่มค่ะ
 
 เขมรน้อยเห็นว่าพวกเราทุกคนให้ความสำคัญกับภาษาไทยมาก พวกเราพูดภาษาไทยมากกว่าภาษาเขา และยังสอนให้ลูกพูดภาษาเราแม้ว่าลูกเราหลายคนเกิดที่นี่ค่ะ บางคนพูดกับลูกภาษาลาว เขมรน้อยยังพูดกับลูกทั้งลาว ไทย เขมร แต่ลดเหลือแค่ภาษาไทยเพราะลูกจะช้า ลินดามาที่นี่ตอนเก้าขวบ ที่เมืองไทยเราพูดที่กันสองภาษา คือ ไทย และอังกฤษ เพื่อน ๆ ลินดา พูดภาษาเขมร ลินดาได้ภาษาลาวไม่กี่คำ  
 
 พอมาสวิส ลำบากมาเพราะพ่อไม่เคยสอนเยอรมันตให้เลย เพราะไม่คิดว่าจะมาใช้ชีวิตที่นี่ ลูกร้องให้ทุกวันเพราะไม่เข้าใจเพื่อน ๆ และคำสั่งของครู ครูต้องเอาเวลาสอนมาแปลให้ฟัง กลับมาจากโรงเรียนร้องไห้ทุกวัน บอกว่าเด็กที่นี่ไม่เหมือนที่เมืองไทย เขาไม่ฟังครู เถียงครู รับไม่ได้  ฯลฯ
 
  ตอนแรกเขาจะเน้นภาษาเยอรมันให้ลูก จะมีห้องของเด็กที่มาในสวิสใหม่ ๆ และไม่รู้ภาษาของที่นี่ เลย เราลำบากทั้งแม่และลูก  แต่เราทั้งคู่ภูมิใจในภาษาและวัฒธรรมเรามาก เราแม่ลูกได้รับเชิญจากครูของโรงเรียนให้ รำไทยให้เพื่อน ๆ นักเรียนของเขาดู เราเลือกเรือมอันเร เพราะสายเลือดแม่แรงมากในการรำท้องถิ่น ลูกรำได้ด้วย เราขอให้คุณยายและป้า รวมถึงคุณครูมัธยมตำบลตระแสง จังหวัดสุรินทร์ ซึ่งเคยร่วมทำงานสอนรำมาด้วยกัน และ เคยส่งเด็กเข้าประกวด เนื่องในวันเกิดของพระเทพฯ (ขอใช้ภาษาชาวบ้านน่ะค่ะ) ส่งข้อมูลและชุดผ้าใหมที่ใช้ในการรำมากให้เรา และต่อหน้าเพื่อน ๆ ในโรงเรียน เราก็ได้พูดภาษาของเราทั้งสามภาษาให้เพื่อน ๆ เขาฟัง และอธิบายความหมายของท่ารำต่าง ๆ ให้พวกเขาฟัง เขายังบอกว่าถ้ามีเวลาอยากให้ทำกับข้าวไทยมาให้ดูด้วย จะได้มาทานอาหารด้วยกันด้วย แต่เราไม่มีเวลา
 
 เพราะฉะนั้นสวิสและคนสวิสหรือเด็กสวิสไม่มีการล้อเลียนเด็กที่เป็นคนต่างชาติค่ะ เพราะเขาให้ความสำคัญกับศิลปวัฒนธรรม ในทุก ๆ ด้าน ของทุก ๆ ชาติ และครูของเขายังขอให้คุณแม่พูดภาษาไทยกับลูก และขอให้คุณพ่อพูดภาษาเยอรมันกับลูก ส่วนภาษาท้องถิ่นหรือที่คนที่นี่เราเรียกกันว่า ไดอะเล็ก หรือ ไดอะแลก นั้น เพื่อนของเขาจะสอนเขาโดยธรรมชาติ  เพราะฉะนั้นขอบอกว่า เด็กที่ไม่ทันสมัยคือเด็กที่พูดภาไทยหรือภาษาของตนไม่ได้ค่ะ อย่าลืมว่า จากประชากร 7.4 เป็นสวิสแท้ประมาณห้าล้านกว่า ๆ (อย่างมาก) นอกนั้นแค่สัญชาติเท่านั้นค่ะ
 
 ส่วนที่ว่า เด็กมาอยู่สวิสสองปีพูดภาษาไทยไม่ค่อยชัด คิดบ้างไหมว่าเด็กเครียดขนาดใหน ในโรงเรียนที่ไม่เข้าใจครูหรือเพื่อน เด็กก็มีสํญชาติญาณของการอยู่รอดในสังคมพอ  
 

เขมรน้อย

พอ ๆ กับผู้ใหญ่ ต้องการที่จะเข้าใจคำพูดของเพื่อน ครูหรือใคร ๆ ที่เขาสนทนาด้วยเขาจึงพยายามทั้งคิดและพูดเป็นภาษาที่คนส่วนมากและเพื่อน ๆ ของเขาใช้กัน  และเด็กเรียนรู้เร็วและลืมเร็วพอ ๆ ก้นน่ะค่ะถ้าคุณครูคนนั้นคิดว่าผู้ใหญ่เสี้ยมสอนไว้ก็ขอมองว่า คิดในแง่ลบมากเกินไปค่ะ ลองมองหาความคิดในแง่บวกบ้าง และมองดูคนไทยที่มาอยู่ที่อย่างที่เป็นอยู่กันจริง ๆ ศึกษาทั้งธรรมชาติของมนุษย์ ธรรมชาติของคนไทย ธรรมชาติของเด็ก ธรรมชาติของคนที่นี่ สังคมที่นี่ว่าพวกเราต้อง อยู่อย่างไร เรียนอย่างไร ที่จะอยู่ได้อย่าง มีความสุขที่สุด ตามอัตรภาพของพวกเรา พวกเราต้องการจะเป็นคนไทยที่มีคุณภาพกันทุกคน (และต้องการการยอมรับจากสังคมสวิสด้วย (ตรงนี้เป็นความคิดเห็นของเขมรน้อยคนเดียวค่ะ)

เขมรน้อย

อ้อ ลืมอธิบายว่า สวิสมีประชากรที่ไม่ใช่สวิสมากขนาดนี้ เพราะเขายอมรับพวกเราและต้องการให้พวกเรารักษาความเป็นเราพร้อมทั้งให้โอกาสมากมายกับลูกของเรา ที่จะอยู่ในสังคมของเขาได้อย่างภูมิใจในตัวเองไม่อายใคร และเราไม่ต้องอายด้วย เพราะในชั้นของลูก สวิสแท้ประมาณยี่สิบถึงยี่สิบห้าเปอร์เซ็นต์ เราไม่อายค่ะ เราภูมิใจค่ะ
 
 
 พวกเราเครียดกันมากที่นี่ พวกเราแทบจะทุกคนไม่มีพี่น้องอยู่ใกล้ อากาศ อาหาร สังคม ความคิดของคนที่นี่ ขอร้องว่าอย่าตัดสินเราจากคนไม่กี่คน ความคิดไม่กี่ความคิด สื่อ มีความสำคัญมาก เราไม่ต้องการให้คนไทยด้วยกันมองเราในแง่ลบไปมากกว่านี้ แค่ที่เราเจอกันที่นี่ ก็สาหัสพอแล้ว
 
 จริงค่ะที่ว่าคนไทยเราระแวงกันเอง แต่เขมรน้อยคิดว่า เขมรน้อยมองเขาอย่างน่าสงสารมากกว่า เพราะเขมรน้อยเคยเจอ และตอนนี้ไม่สนเจอใครก็ทักภาษาไทย ถ้าเขาทักตอบก็คุยกัน ระบายกันไป ไม่เคยคิดและกลัวว่าใครจะมาคุ้ยประวัติ ก็อยากจะให้คุ้ยน่ะค่ะ จะภูมิใจมากถ้าคุ้ยเจอ และจะขอบคุณที่ให้ความสำคัญขนาดมาคุ้ยประวัติ  
 
 เขมรน้อยเคยคิดที่จะไปถามสถานทูต หรือ กงสุลไทยว่ามีสอนภาษาไทยให้เด็กไทยเราที่นี่หรือเปล่า เพราะต้องการให้ลูกได้เรียนเพิ่มเติมภาษาไทย จะสอนเราก็ไม่มีเวลาสอน ยิงตอนนี้ ตื่นตีห้าไปทำงาน กลับถึงบ้านทุ่มกว่าแน่ะ  
 
 อย่างที่ว่าค่ะ มันเป็นความเห็นที่เขียนไม่ค่อยสละสลวยเพราะไม่ใช่นักเขียน เพื่อนคิดกันอย่างไรก็ลองบอกกันมาบ้าง สอนลูกอย่างไร ให้อะไรกับลูกบ้างและลูกของเพื่อน ๆ เป็นอย่างไร บอกันบ้างน่ะค่ะ เขมรน้อยพูดให้คำเดียวว่าภูมิใจในความเป็นไทย และภูมิใจในตัวลูกมาก เขามีความเป็นไทยพอ ๆ กับความเป็นสวิสค่ะ  
 
 สำหรับหลาย ๆ คน อาจจะคิดว่าที่คัดลอกมานั้นไม่สำคัญเพราะเป็นแค่ความเห็นของคน ๆ หนึ่ง และมนุษย์นั้น ต่างจิต ต่างใจ ถ้าคนที่เขามีประสบการณ์ และคิดเป็น เขาก็จะแยกแยะเป็น แต่อย่าลืมว่าพวกที่แยกแยะไม่เป็นเขามีกันมากกว่าคนที่แยกแยะเป็นและคิดเป็นค่ะ สำหรับเขมรน้อยสำคัญค่ะ ถ้าคิดว่าเขมรน้อยคิดมากไปก็บอกกันได้น่ะค่ะ ยินดีรับฟังค่ะ

แนน

เห็นว่าที่เขาเขียนมาก็มีความเป็นไปได้นะคะ อันนี้ขอแสดงความคิดเห็นในเรื่องของผู้ใหญ่ เพราะไม่มีความรู้เรื่องเด็กๆ เพียงแต่เขาใช้ความคิดเห็นจากคนๆเดียวและความรู้สึกส่วนตัว เพื่อที่จะบอกกล่าวถึงปัญหาที่มีอยู่ เพราะถ้าไม่มีปัญหานี้จริงๆ เขาก็คงจะเขียนว่า ให้คนไทยในประเทศอื่นดูเป็นตัวอย่าง ว่าคนที่นี้รักษาความเป็นไทยอย่างดีเลิศ และปัญหาที่เขาเขียนมาตัวคุณเองก็ยอมรับว่ามันมี คิดว่าเรื่องเปอร์เซ็นไม่ใช่ส่วนสำคัญ ปัญหาก็คือปัญหา ไม่ว่าจะมากหรือน้อยก็ต้องแก้ไข  
 เท่าที่ดูมา สื่อก็มักจะนำเสนอข้อมูลให้คนเห็นอย่างที่ตัวเองต้องการ ไม่ว่าสื่อแบบไหนก็เป็นเหมือนกันทั้งนั้น หน้าที่กรอง เป็นหน้าที่ของคนอ่านเอง จะมาคาดหวังให้สื่อมีจรรยาบรรณ ก็ออกจะมองโลกในแง่ดีไปหน่อย ส่วนใครจะแยกแยะได้หรือไม่ก็เป็นเรื่องธรรมดาคะ เป็นสิทธิส่วนบุคคล ทุกคนมีสิทธิออกความเห็น คุณเองก็มีสิทธิจะมองว่าที่เขาออกความเห็นมาเป็นอย่างไร
 ในคุยเรื่องนี้แล้วก็อยากจะเล่าให้ฟังบ้างนะคะ  
 อันนี้ไม่ได้เจอกะตัว แต่น้องที่สนิทเขาเล่าให้ฟังว่า เห็นคนไทยก็เลยอยากเข้าไปคุยด้วยความเหงา แต่ก็ไม่น่าใจเลยถามเป็นภาษาไทยว่า เป็นคนไทยหรือเปล่าคะ ส่วนเขาตอบเป็นอังกฤษว่า โน เป็นคนจีน แต่มันดันฟังคำถามภาษาไทยออก น้องก็บอกว่าเมื่อกี้ยังได้ยินคุยไทยอยู่เลย 55 ตลกสุดๆๆ  
 ส่วนที่เคยเจอเองเป็นลูกครึ่งไทย สวิสคะ มาจากตอนใต้ มาเรียนเยอรมันเหมือนกัน เขาก็บอกนะคะว่าเป็นลูกครึ่ง เวลาคุยกันก็คุยเป็นเยอรมัน ธรรมดาคะ เขาคุยภาษาไหนก็ตามๆเขาไป ถ้าตามได้ แต่ก็เจอกันวันเดียวนะคะ แล้วก็ต่างคนต่างไป
 ส่วนเรื่องที่สอนภาษาไทยให้เด็กไทยก็มีที่วัดไทยไม่ใช่เหรอคะ พาลูกไปเรียนสิคะ รู้หลายภาษายังไงก็ได้เปรียบอยู่แล้ว ไม่มีข้อแม้ว่าจะเป็นภาษาอะไร ภาษาไทยยังยากกว่าเยอรมันอีก ไปเรียนไว้แต่เด็กจะได้เป็นเร็ว  
 ส่วนตัวเรื่องเชื้อชาติไม่ค่อยมีอิทธิพลมากเท่าตัวตนนะคะ (เรื่องปรัชญามากนะคะ) เพระตัวตนมีเพียงแค่เราคนเดียวคะ ถ้าเราไม่รักษา ถ้าสูญ ก็จะไม่เหลืออะไรเลย นอกเรื่องหรือป่าวเนี้ย แต่ก็อยากจะบอกว่า  ทำอะไรก็ได้ ที่ทำแล้วภูมิใจ ทำแล้วไม่ต้องอาย เวลาที่จะพูดหรือนึกถึง ฉนั้น คิดก่อนทำคะ lol โชคดีทุกคน

อ่านแล้วเฉยๆ

เป็นตัวของเราเองน่ะดีที่สุด
 คนอ่านก็คือคน
 คนเขียนก็คือคน
 ดูแลตัวเราเอง
 และครอบครัวเราเอง
 จะเป็นสิ่งดีที่สุด
 เขาเขียนหนังสือขาย
 จริงบ้างไม่จริงบ้าง
 คนอ่านต้องพิจารณาเอาเอง
 ว่าเชื่อได้แค่ใหน
 แต่เชื่อมั่นในตัวเองเป็นดีที่สุด
 นานาจิตตัง..
 

เขมรน้อย

สวัสดีค่ะคุณแนน ต้องขอบคุณที่มาให้ความเห็น และเป็นความเห็นที่น่าสนใจมาก เขมรน้อยไม่ได้คาดหวังอะไรมากมายจากสื่อหรอกค่ะ แต่คิดว่าคงจะไปคาดหวังจากคุณครูคนไทยคนนั้นมากไปกระมัง เพราะถ้ามาเป็นครูในสวิส ควรจะทราบดีว่าสภาพของเด็กที่เกิดจากเมืองไทยโตที่เมืองไทยและจบประถมจากเมืองไทยมาอยู่ที่นี่ เขาต้องเผชิญกับอะไรบ้างน่ะค่ะ และแม่ของเด็กจะต้องเจออะไรบ้าง  
 
 เขมรน้อยเข้าใจค่ะว่าพื้นฐานของคนทุกคนต่างกันแน่นอน เพราะอย่างนั้นน่ะซิค่ะถึงขอให้เพื่อน ๆ เขียนมาให้ความเห็น และเขมรน้อยจะขอเน้นเรื่องที่ดีและเป็นจริงไปให้คนไทยในเมืองไทยที่ได้อ่าน พอจะเข้าใจพวกเราบ้าง และที่เขมรน้อยคิดว่าสื่อตรงนี้สำคัญมาก ก็เพราะเมื่อประมาณต้นปีนี้หรือปลายปีที่แล้วก็ไม่ทราบ จำไม่ได้แล้วค่ะ เพื่อนหญิงไทยเราที่นี่แหละค่ะ เธอก็ไปเขียนว่า คนไทยที่นี่ ถ้าไม่มีทองเส้นใหญ่ ๆ ใส่ก็ไม่คบ ไม่เรียกเข้าบ้าน ต้องเป็นระดับเดียวกันจึงจะคบ เขมรน้อยก็เงียบไม่ได้คิดอะไรมาก เขาคงเจอมาแล้วเครียดเลยเหมารวม แต่ ทั้งโทรศัพย์ ทั้งจดหมาย ทั้ง อีเมล์ มาจากเพื่อน ๆ เมืองไทย และครู อาจารย์ที่เคารพ ทั้งแม่ ทั้งน้อง เพื่อนๆ ที่อยู่ประเทศอื่น ถามกันให้วุ่น เราก็เลยบอกว่า เขาคนเดียวที่พูดอาจจะเป็นจริงแต่ไม่ใช่ในกลุ่มเราแน่นอน และก็บอกเขาไปว่า ที่นี่เขมรน้อยอยู่อย่างประหยัด และเพื่อน ๆ เขมรน้อยทุกคน ทำงาน และหางานทำ ไม่มีเวลาที่จะมานั่งใส่ทองแข่งกันค่ะ เขมรน้อยรักภาษาไทยมาก แม้จะเรียนเน้นภาษาไทยจบแค่ ปวส แต่ก็พยายามอย่างยิ่งที่จะใช่ภาษาไทยให้ถูกต้อง ส่วนภาษาอื่นนั้น ขอแค่พอหางานทำได้เข้าใจคนของเขาให้ถูกต้อง เขมรน้อยก็พอใจแล้ว  
 
   
 เขมรน้อยเห็นว่า เรื่องเชื้อชาติไม่ค่อยมีอิทพลเท่าตัวตนนั้น   อยู่ที่ว่าเรามองกันในมุมใหนค่ะ และถ้าตัวตนของคนคน ๆ ไม่มีความรักและภาคภูมิใจในเชื้อชาติของตน แน่นอนค่ะไม่แค่ตัวตนของเขาหรอกค่ะที่สูญไป แต่ชาติพันธุ์ที่เขาเกิดมา รากเหง้าของผู้ให้กำเหนิดของเขาก็จะสูญไปพร้อมกับเขาด้วยเพราะเขาก็คือหนึ่งในเชื่อชาตินั้น(แม้จะแค่หนึ่งก็ตาม) ในส่วนนี้เขมรน้อยให้ความสำคัญเชื่อชาติกับตัวตนพอ ๆ กันค่ะ  ส่วนเรื่องของการดำเนินชีวิตประจำวันนั้น คิดว่า อาจจะใช่ค่ะ เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ซับซ้อนคุยกันได้ไม่จบหรอกค่ะ  
 
 อย่างที่ว่าค่ะ ทุกคนมีสิทธิ์ที่จะคิดจะทำ ส่วนตัวเขมรน้อยคิดว่าก้าวแรกที่เท้าเล็ก ๆ ของเราเหยีบพระแม่ธรณีนั้น คือผื่นแผ่นดินไทย ภาษาที่เขมรน้อยพูดคือภาษาเขมร ที่เราพูดกันในประเทศไทย (มีส่วนคล้ายแต่ไม่เหมือนที่เขาพูดกันในกัมพูชา) ภาษาที่เราเรียนคือภาษาไทย เพราะฉะนั้นข้าผู้น้อยภูมิใจที่ไปเกิดเป็นคนไทยค่ะ
 
 ที่เขมรน้อยเขียนมาทั้งหมด จุดประสงค์เดียวคืออยากให้คนไทยมองเราที่อยู่ที่นี่ในความเป็นจริงที่เราอยู่ที่เราเป็นกัน ซึ่งหลาย ๆ อย่างมีบวกมากกว่าลบค่ะ  
 
 วัดไทยหรือค่ะ ในซูริคไม่มีหรือค่ะ วัดไทยใกลมากค่ะ สำหรับเรา เพราะเราไม่มีรถ ใช้เวลาเดินทางสอง ชม ค่ะ ไกลไป ขอบคุณค่ะที่ให้ข้อมูลมา โชคดีเช่นกันค่ะ

เขมรน้อย

ลืมค่ะ หวัดดีค่ะป้า และทุก ๆ คน ถ้าคิดได้ อย่างคุณอ่านแล้วเฉย ๆ ก็ดีน่ะ ไม่เครียดดี หลาย ๆ เรื่องข้าน้อยก็คิดอย่างนั้นค่ะ แต่หลาย ๆ เรื่อง ข้าน้อยบ่คิดจังซั่นค่ะ ขอบคุณค่ะ

แนน

เอ้อ ตัวตนไม่ได้ขึ้นอยู่กะมุมมองนะ แต่ตัวตนเกิดมาจากการหล่อหลอม สั่งสมประสบการณืของแต่ละคน ซึ่งเรื่องเชื้อชาติ หรือรากเหง้าจะเข้ามาเกี่ยวข้องหรือไม่ ก็เป็นการเข้าใจและยอมรับของแต่ละคน จุดมุ่งหมายของตัวตนคงจะไม่ได้มีไว้รักษาเผ่าพันธุ์ แต่มีใว้เพื่อตัวของคนคนนั้นเอง ปรัญชาวันละนิด จิตแจ่มใสนะจ้า

บัวขาว

ทุกวันนี้ห่วงเรื่องสุขภาพจิตลูกที่สุด
 เนื่องจากว่า ญาติก็ไม่มี เพื่อนก็ไม่ค่อยมีที่นี่ ตอนเช้าคนที่นี่เขาก็โดยมากทำงาน ซื้อของ เช็ดบ้านถูบ้าน สนามเด็กเล่นก็ไม่มีเด็กสักคน อากาศหนาว แล้วจะหาเพื่อนให้ลูกที่ไหน อายุลูกก็ยังไม่ถึง เพกรุ๊ปก็เข้าไม่ได้ อนุบาลก็ตั้งห้าขวบ ที่บ้านก็พูดภาษาคำเมืองกับฝรั่งเศล แล้วลูกจะให้ลูกเรียนภาษาเยอรมันที่ไหน ส่งลูกเข้าเนอรเซอรี่ตัดปัญหาทุกอย่าง มีลูกสองคนคนเล็กก็ยังเล็กมาก เลี้ยงคนเดียวเหนื่อยบางคนอาจมองว่าบัวขาวขี้เกียจเลี้ยงลูก (แต่ก็มีความจริงบางส่วน 555555) ใครไม่ลองไม่รู้ เลี้ยงลูกเล็ก เล็กในต่างประเทศคนเดียวนี้เหนื่อยจริง จริง  ไม่ไหนมาไหนก็กระเตงกันไป ตอนนี้ส่งคนโตไปเนอสเซอรี่ครึ่งวัน ตัดปัญหาทุกอย่าง  
 หนึ่งช่วยแบ่งเบาภาระไปเยอะมาก เรามีเวลาได้พักผ่อนบ้าง มีเวลาดูแลคนเล็กด้วย
 สองลูกมีเพื่อน มีสังคม สุขภาพจิตดี
 สามลูกได้ฝึกพูดภาษาเยอรมันถูกต้อง
 เนอรเซอรี่ให้หลายอย่างทีเดียว หลายคนอาจบ่นว่าแพง แต่ว่าคุ้มค่าเหลือเกิน เดี๋ยวนี้ลูกไปไหนมาไหนไม่ต้องกลัว ได้ทั้งสามภาษา ส่วนบัวขาวพูดภาษาคำเมืองกับลูกทุกคำ ทุกที่ ไม่มีคำว่าอายเพื่อให้ลูกเขาใจเราที่สุด และเราเข้าใจลูกที่สุด แต่เวลาเขาจะ โห้ย หรือจะ หยา มาเราก็ไม่เคยว่า ไม่ห้าม (อยากพูดไร พูดมาดิ เข้าใจทุกอย่าง555)ให้อนุญาติพูดได้ตามใจเขา บางทีในรถไฟเด็กอื่นพูดเยอรมัน เขาก็พูดเยอรมันกับเราด้วย แบบว่าอยากโชว์ออฟ ข้าก็พูดได้นะเฟ้ย เราก็เราก็พูดไปกับเขา แต่เราพูดคำเมืองนะ  
 ลูกคนโตสุขภาพจิตดีมาก เข้ากับเด็กอื่นได้ ไม่อาย เห็นสนามเด็กเล่น (ช่่วงที่ไม่หนาวเกินไป ) วิ่งไปเล่นเลย ไม่อาย ไม่กลัว รักน้อง ไม่ค่อยอิจฉาน้อง เพราะมีไรทำช่วงเช้า ช่วงบ่ายก็มีเวลาอยู่กับน้องกับแม่ คิดว่าจะให้อยู่เนอรครึ่งวันไปเรื่อย เรื่อย จนถึงสามขวบ เพราะสามขวบเขาจะมีกิจกรรมแล้ว ทั้งเพกรุ๊ป ทั้งคิดเดอร์พาราดิส เรียน เต้นรำ ร้องเพลง ออกกำลังกาย มีกิจกรรม มีไรให้ทำเขาจะได้ไม่เบื่อ และมีเวลาเล่นกับน้องมากขึ้น คิดว่าอยู่เนอรปีเดียวนี่ดีที่สุด เขาเริ่มเข้าตั้งแต่สองขวบ บางคนอาจเห็นว่าเร็วไป(มันก็เร็วไปจริง จริง แต่คุณแม่เหนื่อยมาก) ส่วนเรื่องคนไทยระแวงกันกันเองนั้นบัวขาวไม่รู้หรอกค่ะ เพราะมาอยู่สามปี วัน วันก็เลี้ยงลูก ทำงานบ้าน ทำกับข้าวไม่มีเวลาไปไหน นอกจากพาลูกออกไปสูดอากาศบริสุทธิ์ เดินเล่น และซื้อของ
 

คุณแม่คนไทยในสวิสเหมือนกัน

เอ...จริง ๆ กระทู้นี้น่าจะเป็นกระทู้ฮอท  และมีคนเข้ามาตอบเยอะ ๆ นะคะ  อ่านอยู่หลายวันแล้ว  อยากตอบเหมือนกันแต่ไม่ค่อยกล้าตอบเท่าไร  เกรงว่าจะเป็นการถูกใจตัวเอง  แต่ไม่ถูกใจใคร....แฮ่
 
 เขมรน้อยจ๋า......เข้าใจกับความรู้สึกจ๊า  เพราะเคยเป็นมาก่อน  แต่ระยะเวลาผ่านไปมันก็ต้องทำใจ  และก็ปรับตัวให้เข้ากับปัญหาตรงนี้  มูลอาจจะมีอยู่บ้างแม้จะติ๊ดเดียว  หรืออาจจะเป็นไปได้ว่าเป็นเรื่องนั่งเทียนไม่มีใครเป็นแบบนี้เลย  เพราะว่าไม่เคยเห็นและไม่รู้จักคนแบบคุณกานดาเธอว่ามาเลยค๊า   และอีกอย่างไม่เคยอ่านต้นฉบับจริง ๆ  เธอไม่ได้อ้างเลยค๊าว่าคนที่ว่าถึงเป็นใคร  มีแค่คนเดียวหรือว่ามีร้อยคน  หรือห้าพันคนในจำนวนหนึ่งหมื่นคนที่มีอยู่ในประเทศสวิส  คิดเข้าข้างตัวเองไว้เลยจ๊าว่า  "มีเราอย่างน้อยคนนึงละที่ไม่เป็นแม่คนไทยในสวิสแบบที่คุณกานดาว่ามาล้านเปอร์เซนต์ 555..."
 
 ********************************************************************
 
 คณอ่านแล้วเฉย ๆ  สนับสนุนค๊า  เพราะถ้าคุณทำได้คุณจะเป็นคนที่มีความสุขกับหนังสือบันเทิงเริงใจฉบับนั้นมาก ๆ  ขอให้อ่านเพื่อความบันเทิงไปในทุกเรื่อง  ความเป็นจริงอย่าไปสนใจมันมาก  ทำให้สุขภาพจิตเราดีขึ้น  เห็นด้วยไม่อ่อนไหวกับสื่อที่ป้อนให้   คุณเป็นคนมีความสุขที่น่าอิจฉาจริง ๆ คะ
 
 **********************************************************************
 
 คุณแนนคะ  เรื่องปรัชญงปรัชญาเราไม่รู้เรื่องหรอกค๊า  ความรู้น้อยบางอย่างพูดไทยยังแปลไทยไม่ค่อยออกเลยค๊า  นับประสาอะไรกับภาษาเยอรมัน  ถ้าคนไทยเค้าพูดภาษาเยอรมันด้วยเนี๊ยะถ้าเราพูดได้แล้วตอบไป  มันมีผลดีนะค๊า  ทำให้เราได้ใช้ภาษาที่อุตส่าห์ข้ามน้ำข้ามทะเลมาเรียนถึงประเทศสวิตเซอร์แลนด์   เรากลับแปลกใจเสียอีกเวลามีคนไทยด้วยกันพูดภาษาเยอรมัน  ทำไมคนไทยด้วยกันดันหาว่าเราดัจจริตไปอีกละสิ  แถมเวลาไปเรียนภาษาเยอรมันเจอคนไทยด้วยกันพอพูดไทยกัน  ครูดันต่อว่านี่ ๆ  ๆ เราเรียนภาษาเยอรมันกันนะ ควรจะพูดเยอรมัน  เอาใจใครไม่ถูกเลยโดนทั้งขึ้นทั้งล่อง
 
 เพื่อนคุณแนนเล่าให้ฟัง  บอกเพื่อนว่าอย่าเก็บเอามาใส่สมองเลยค๊า แถมไม่น่าเล่าต่อให้คุณแนนฟัง  ไม่รู้เล่าเพื่ออะไรเนอะ  คงเล่าเพื่อตอกย้ำให้คนไทยด้วยกันไม่พอใจคนไทยด้วยกัน  5555    คิดเอาเอง   เพราะเรื่องนี่มันเป็นเรื่องโจ๊กระดับโลกค๊า  เคยได้ยินแต่คนเค้าเล่าว่าเคยเจอคนไทยด้วยกันพอทักแล้วเค้าไม่ทักตอบ   โดยส่วนตัวไม่เคยเจอเลยค๊า  เพราะตอนอยู่เมืองไทย  เราไปไหนก็ไม่เคยทักใครเลย  เพราะไม่รู้จักเลยไม่ทักง่ะ  พอมาอยู่ที่นี่ถ้าคนไม่รู้จักก็คือไม่ทักง่ะ  มารยาทแย่ ๆ แบบนี้มานานเป็นสิบแล๊ว  555
 
 **********************************************************************
 
 คุณบัวขาวค๊า   ถ้าอยู่ใกล้ ๆ จะหอมซักฟอดใหญ่ ๆ  เพราะเป็นแม่ที่ขี้เกียจเหมือนกัน.....แฮ่   แถมมีความคิดเหมือนกันค๊าตรงที่ "เป็นห่วงสุขภาพจิต" ของลูกเป็นที่สุด  ดีคะที่ไม่ซีเรียสในเรื่องภาษาของลูก  ดีใจที่คุณพูดภาษาที่คุณถนัดที่สุดกับลูกของคุณ  เพราะคุณสามารถที่จะพูดกับลูกคุณในร้อยเปอร์เซนต์  แถมยังสนับสนุนให้ลุกคุณได้ใช้ภาษาที่จำเป็นและสำคัญในชีวิตประจำวันของเค้า  ชอบคะชอบคุณตรงที่คุณว่า  " ส่วนบัวขาวพูดภาษาคำเมืองกับลูกทุกคำ ทุกที่ ไม่มีคำว่าอายเพื่อให้ลูกเขาใจเราที่สุด และเราเข้าใจลูกที่สุด แต่เวลาเขาจะ โห้ย หรือจะ หยา มาเราก็ไม่เคยว่า ไม่ห้าม (อยากพูดไร พูดมาดิ เข้าใจทุกอย่าง555)"   ดีใจจังเลยคะที่มีแม่มีความคิดเห็นอย่างเราอีกคนอยู่
 
 **********************************************************************
 
 โดยส่วนตัวนะคะเราก็เลี้ยงลูกแบบตามใจตัวเองคะ  พูดง่าย ๆ ไม่ได้เลี้ยงแบบให้คนอื่นพอใจ  เลี้ยงแบบที่บางสิ่งบางอย่างคนอื่นอาจจะไม่ยอมรับ  แต่ตัวเราและครอบครัวเรายอมรับ  จะเน้นทางให้ลูกมีสุขภาพจิตดี และมีความสุขที่จะอยู่ในสังคมและขนบธรรมเนียมทั้งสองชาติคือไทยกับสวิส เพราะตัวเค้าเองเป็นลูกครึ่งไทยสวิส  ใช้วิธีเลี้ยงแบบที่ไม่เครียดและซีเรียสว่าลูกจะต้องเก่ง และดีในสายตาของคนอื่น  แต่ขอให้ลูกเป็นเด็กอารมย์ดีมีความสุข  และยอมรับกฎระเบียบและข้อกำหนดในการดำเนินชีวิตในชีวิตประจำวันบ้าง  ว่าอย่างไหนควร หรือไม่ควร  แต่อยากบอกว่าไม่เคยที่จะ  "ยัดเยียดความเป็นไทยให้ลูกเลย"   ลูกพูดภาษาถิ่นของที่นี่ได้คะเพราะใช้กับพ่อกับญาติพี่น้อง  พูดภาษาไทยได้แต่อาจจะไม่ดีมาก แต่ก็ไม่แย่สำหรับเด็กที่เกิดและโตที่นี่ แต่คิดว่าเข้าใจภาษาไทยได้ทุกอย่างตามวัยอายุของเค้า  เพราะเราพูดภาษาไทยกับลูกทุกคำ ทุกวัน และทุกเวลา เพราะคิดว่าพูดได้กับลูกได้ดีที่สุดเนื่องจากเป็นภาษาแม่  แต่บางครั้งลูกอาจจะตอบเป็นภาษาถิ่นของที่นี่  หรือแม้จะตอบไทยคำถิ่นคำ  แต่ตอบถูกคำถามสำหรับเราก็โอเคแล้วคะ  แต่ถ้าเป็นคำตอบที่เค้าต้องการให้เราแก้ไขคำพูดให้ถูกต้องก็จะพูดให้เค้าฟังอีกรอบ
 
 เรื่องเรียนภาษา  สอนเองเลยคะ  ไม่มีคุณครูคนไหนดีไปกว่าตัวเราเองหรอกคะ(เข้าข้างหรือให้กำลังใจตัวเองไว้ก่อน)  ถ้ากลับไทยซื้อหนังสือเรียนทุกวิชาของชั้น ป.1-ป.4  ตามหลักสูตร สปช. ถ้าไม่รู้หลักการสอน  ก็ซื้อหลักสู่ตรการสอนมาด้วยเลยคะ  จะมีเป็นตารางเลยว่าวันนี้สอนอะไร ทำอย่างไร  ถ้าเราอ่านภาษาไทยได้นะสอนได้อยู่แล้ว  อย่าดูถูกความสามารถของเราเอง  เรานะเป็นครูสอนลูกที่ดีที่สุดในโลกเลยคะ  แต่อย่าลืมว่าถ้าเด็กไม่รับนะเหนื่อยเปล่า ๆ คะ  เพราะเค้าไม่ค่อยใช้ด้วย  ลองหาวิธีโน้นน้าวที่จะให้เค้ายอมรับที่จะเรียนเองด้วยนะคะ  อันนี้เล่าจากประสบการณ์เพราะเคยรับสอนเด็กลูกครึ่ง  แต่เด็กแต่ละคะพอถามว่าทำไมถึงอยากมาเรียนอ่านเขียนภาษาไทย  เด็กส่วนมากนะตอบว่าแม่อยากให้เรียน  รวม ๆ แล้วเด็กไม่อยากเรียนหรอกแต่พ่อแม่อยากให้เรียน  แต่ว่าอันนี้เอามาสรุปไม่ได้หรอกคะเพราะว่าสอนไปไม่กี่คนเอง  เพียงแต่มาเล่าให้ฟังนะคะว่าถามเด็กให้แน่ก่อนว่าเค้าอยากเรียนหรือว่าเราอยากให้เรียนจะดีกว่า  ยิ่งถ้าเกินต้องนั่งรถไปเรียนตั้งไกลนะเด็กจะเครียดซะเปล่าคะ  
 
 ********************************************************************
 
 ก็แค่ความเห็นหนึ่งความเห็นนะคะ  อ่านกันเล่น ๆ อย่าไปซีเรียสกับมันมาก ๆ ถือว่าเป็นการแลกเปลี่ยนประสบการณ์ซึ่งกันและกัน  อันไหนทำให้ใครไม่พอใจ  "ขอกราบอภัยมา ณ ที่นี่ด้วยคร๊าบบบบบบบบบบบบบ"