News:

ยินดีต้อนรับ สู่ Pall Swiss เว็บบอร์ดตัวใหม่

Main Menu

**เรื่องที่เขียนขึ้นจากชีวิตจริง....ตอน1.....***

Started by pall, September 29, 2004, 02:19:22 PM

Previous topic - Next topic

pall

**บทเริ่มต้น**
 
 เรื่องของป้าเริ่มขึ้นในเช้าวันนี้วันที่ 7  พฤษภาคม 2002  
 เป็นวันที่รู้สึกสดชื่นแจ่มใสที่สุดกว่าทุกวันที่ผ่านมา  
 ได้ยินเสียงนกร้องเพลงบนต้นไม้ใกล้หน้าต่างคึกคัก
 จู๋จี๋กันมาตั้งแต่เช้ามืดแล้ว  จนป่านนี้ก็ยังไม่ยอมหยุดธรรมดามันหายเงียบกันไปหมดแล้ว  สงสัยมันคงจะรู้ว่าวันนี้เป็นวันพิเศษ….วันนี้เป็นวันที่แม่อนุญาติให้ป้าโผล่หน้าออกมาชมโลก    ว่าแล้วก็จัดการงัดการ์ดโทรศัพท์มา  จากนั้นรีบกดเลขหมายโทรศัพท์ทางไกลจากสวิสเซอร์แลนด์มายังกรุงเทพฯ เพื่อขอพรจากแม่  ได้ยินเสียงตามสายสไตล์เดิมด่าก่อนอวยพรทีหลัง….ขอให้ร่ำให้รวย ร่ำรวย เป็นเศรษฐีมหาเศรษฐีมีกะตังเยอะ  (นี่ชอบมากรีบรับแทบไม่ทัน) แหม  ช่วงนี้หุ้นยิ่งตกอยู่ด้วย  ฟองสบู่เต็มบ้านป้าสมกับยุคสมัยจริง  ตอนนี้จะกรอบจนเป็นข้าวเกรียบก็เพราะ*สันดานงกของป้าเอง…นึกๆสมน้ำหน้าตัวเอง นี่ดีนะที่แม่แกไม่รู้  ถ้าแกรู้สงสัยคำเทศนาคงหลายกัณฑ์ จนลืมคำอวยพรมากกว่า   แม่แจ้งข่าวดีรอบสองให้รับทราบว่าจองตั๋วเครื่องบินได้และกำหนดวันเดินทางมาเรียบร้อยแล้ว ระบุวันที่ 25 กรกฎาคม ปีนี้ พร้อมน้องสาวคนเล็ก  ยังย้ำว่ารับรองได้มาทันฉลองวันเกิดลุงระเบิดแกได้แน่นอน วันเกิดลุงระเบิดวันที่ 1 สิงหาคม ตรงกะวันชาติสวิสฯพอดี  เพื่อให้ตรงกะยุคสมัยยามกรอบ…..เลยรวบยอดจัดงานที่เดียว 3 งาน โธ่…คุ้มเกินคุ้ม วันเกิดป้ากะลุงกะวันชาติ  ยิ่งใหญ่ซ๊ะไม่มีล่ะ  
 ความสุข ความสดชื่นในวันนี้ ทำให้อดนั่งคิดถึงแม่ และคิดถึงวันเก่าๆ มันทำให้รำลึกย้อนกลับไปถึงเรื่องราวในอดีต  น่าจะเริ่มตั้งกะวันที่ป้าติดต่อกะลุงโรเบิดเป็นครั้งแรกก่อนที่จะมาอยู่ด้วยกัน ต้องพบกับความรักแบบชนิดเปรี้ยว หวาน มัน เค็ม จืด ฝาดและเป็นคู่ทุบคู่ถอง ผสมซาดิสก์ชนิดยิ่งกว่าหนังของพิศาล อัครเศรณี เสียอีก เวลาที่ผ่านไปไวเหลือเกิน  ไม่น่าเชื่อว่านี่จะร่วม 30 ปีแล้ว   ความรู้สึกของป้าเหมือนเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อวานนี้เองไม่น่าเชื่อเลยป้าจะพลัดถิ่นมาอยู่ถึงแดนไกลสุดขอบฟ้า…30ปี ก็เท่ากับหมื่นวันหรือสองแสนห้าหมื่นชั่วโมง  ซึ่งถ้าบวกลบคูณหารก็ได้เป็นระยะทางที่นีล อาร์มสตรองเอา*ไปเหยียบบนโลกพระจันทร์หนึ่งเดียวดวงนี้แบบเที่ยวบินไปกลับ  คิดไปคิดมาป้าชักเกิดอาการหน้ามืดตาลายจนตาชักจะกลายเป็นหมีแพนด้า  สารพัดเรื่องราวที่เกิดและวีรกรรมกระเหรี่ยงพัดถิ่น  ซึ่งเรื่องราวภายในหนังสือเล่มนี้อัดแน่นไว้สาระที่น่าสนุกสนาน  เจือปนความสมเพชเวทนา  เซ่อปนซ่าแบบชนิดไม่คาดคิดว่าจะเป็นเรื่องจริง  แต่ป้าขอย้ำทุกตัวอักษรที่เขียนเกิดจากชีวิตของครูบ้านนอก….นอกจริงๆ  ชนิดไม่ปรุงแต่ง  อยากให้ผู้หยิบหนังสือเล่มนี้ร่วมหัวเราะกับป้า  เหมือนป้ากำลังเป็นอยู่ตอนนี้   เอาเป็นว่าใครหัวเราะได้มากได้น้อยไม่ว่ากัน  ขอให้มีความสุข  อุทาหรณ์สอนใจที่พอจะมีได้ในเล่มนี้  คงมีให้แม่ที่ยิ่งใหญ่ที่สุด  ที่ทำให้ป้ามีความอดทน  ความดี  ความซื่อสัตย์  ทุกสิ่งทุกอย่างจึงอยู่แค่เอื้อม    
 
 ......................................................................................
 
 
 

**กระทู้นี้เป็นกระทู้เดิมหมายเลข 0429 ห้อง pallswiss (เผื่อใช้ในการค้นหา)**

pall




**ตอน1**  
 
 **ปฐมบท แม่สื่อแม่ชัก…….สื่อรักพาเวียนหัว**  
 
 
 เช้าวันเสาร์วันหนึ่งของเดือนพฤษภาคม 2518  
 เป็นวันที่ไม่อยากขยับร่างลุกจากที่นอนเท่าไรนัก  
 อยากนอนหลับอุตุทั้งวัน  
 ก็แหม…เป็นวันหยุดหลังจากที่ต้องทำงานหนัก  
 ตั้งแต่วันจันทร์ถึงวันศุกร์  
 ได้พักจากงานที่ต้องลับฝีปากต่อกร  
 กับบรรดาพวกเด็กนักเรียนวัยรุ่นทั้งหลาย  
 อายุประมาณ15-17 ปีที่มีเรื่องมาให้ช่วยขบคิด  
 และชอบตั้งคำถามมากมายตั้งแต่เรื่องไม้จิ้มฟันยันเรือรบ  
 สารพันปัญหามาปรับทุกข์ขัดอกขัดใจกับแฟนก็มาถาม —  
 พ่อแม่ด่าก็มาถาม…ถามจนป้าลืมตัวนึกว่าเป็นเพื่อนของมันไม่ใช่ครู…  
 
 เด็กพวกนี้มันไม่กลัวป้าหรอกมันนึกว่าเป็นเพื่อนของพวกมันไปแล้ว หลังเลิกเรียนชอบยกโขยงมาคุยด้วยไม่ยอมกลับบ้าน….หาเรื่องชวนคุยและไม่พ้นที่จะแขวะ….  
 “ครูวันนี้ใส่ชุดเก่าอีกแล้ว  
 ถามจริงๆมีเครื่องแต่งตัวกี่ชุดกันแน่  
 เห็นใส่แต่กระโปรงดำเสื้อขาวปิดลูกกระเดือกอยู่ชุดเดียว  
 ใส่ตั้งแต่จันท์ถึงศุกร์เซ็งจริงๆ”  
 “ ทำไมแล้วมันหนักหัวใครยายเจี๊ยบ”  
 ป้าตอบอย่างยียวนทั้งๆที่มันพูดมาแทงใจดำ…ถูกทุกอย่าง  
 “ ไม่ทำไมร๊อกแต่บอกแล้วว่าเซ็งมาก  
 แทนที่จะแต่งให้เด็กมันเจริญหูเจริญตาเหมือนกับครูคนอื่นๆ  
 นี่แต่งอย่างไปกับไปงานเผาศพ แบบนี้เด็กมันจะมีอารมณ์เรียนหนังสือเร๊อะ”  
 “ แล้วมันเกี่ยวอะไรกับเรียนหนังสือล่ะ “  
 “ เกี่ยวซีคนเราควรจะแต่งอะไรให้สวยๆงามๆ  
 เพื่อเด็กๆจะได้กระชุ่มกระชวยสนใจเรียนหนังสือบ้าง  
 และไม่แน่อาจจะมีหนุ่มหลงมาจีบครูบ้างก็ได้  
 ขืนทำตัวโทรมแบบนี้สงสัยคงจะไม่ได้ลงจากคานแหงๆ  
 เห็นมะครูวริษดาเขาแต่งตัวเนี๊ยบแค่ไหน  
 นี่หน้าตาไม่มีสีเล๊ยเหมือนปลาสำลักน้ำหัดเขียนหน้าทาปาก  
 หน่อยซี “  
 
 และมันพูดต่อไปอีก  
 “ ว่าไปครูนี่สวยเหมือนกันนะ…ออกจากบ้านตอนตี2ได้สบายมากถ้าไม่เห็นว่าเป็นครูประจำชั้นน่ะเหรอจะไม่สนใจเลย”  
 
 ในชั้นที่ป้าสอนมีเด็กนักเรียนแก่แดดคนเดียว  
 ที่ชอบพูดจาแบบนี้มันมีชื่อเล่นว่าลูกเจี๊ยบ  
 ถ้านับอายุถือว่าเป็นน้องสาวได้  
 เพราะอายุอ่อนกว่าแค่ 7 ปี  
 จึงคุยกันได้ทุกเรื่อง  
 และอีกอย่างบ้านอยู่ไม่ไกลจากที่ป้าอาศัยเขาอยู่  
 
 รูปร่างสูงไล่เลี่ยกับป้าถ้าดูผิวเผินจะคิดว่าเป็นเพื่อนกัน  
 หน้าตาหวานน่ารักมาก  
 มีแฟนแล้วรักกันมากยังเคยแนะนำให้ป้ารู้จัก  
 เป็นเด็กต่างโรงเรียน  
 
 เท่าที่เห็นสมกันมากอายุเท่ากันแและเป็นคนขี้อาย  
 ลูกเจี๊ยบมันปากเก่งมาก ป้าเคยด่ามันว่าไม่น่ารัก  
 ไม่สมควรพูดจาแบบนี้กับครู  
 ถ้าใครมาได้ยินเข้าไม่รู้จะคิดว่าเป็นเด็กก้าวร้าว  
 ทำให้เสียสถาบันเด็กบ้านนอกที่ซื่อบริสุทธิ์หมด  
 เพราะคนอื่นๆเขาเรียบร้อยเป็นผ้าพับไว้  
 พูดจากันไพเราะมากและเชื่อคำสั่งสอนของผู้ใหญ่  
 ถึงแม้จะพูดจนปากฉีกถึงรูหูแต่มันไม่เคยเชื่อฟัง  
 ทำตัวแย่เหมือนเดิม  
 
 เมื่อไม่กี่ปีที่ผ่านมาป้ากลับไปบ้านเกิดเมืองนอน  
 มันเห็นกระโดดกอดเลยบอกคิดถึงมาก  
 ป้ารู้ตัวเองดีว่าเป็นคนเชยสุดขีด  
 แต่งเนื้อแต่งตัวไม่ค่อยจะทันสมัย  
 เหมือนครูอีกคนที่มาจากบางกอก  
 เห็นเขาแต่งใส่กระโปรงสั้นเสื้อกุดรัดรูปเอวลอย  
 รองเท้าส้นสูงดูเซ็กซี่มาก  
 ขืนทำตามที่พวกเด็กๆบอกน่ะเหรอสงสัย  
 *AI...มอมหมาที่บ้านมันคงเ*haw..เพราะจำไม่ได้…  
 ดีไม่ดีมันกัดขึ้นมาจะยุ่งกันใหญ่  
 
 และอีกอย่างเจ้าของบ้านที่ไปขออาศัยอยู่  
 คงจะไม่ยอมให้เข้าบ้านแน่ๆ  
 นึกว่าคุณตัวหลุดมาจากไหน  
 ไล่ออกจากบ้านจะกลายเป็นเด็กจรจัดไม่มีที่อยู่อาศัยไป  
 
 เมื่อปี พศ.2512 แม่ได้ย้ายไปทำมาหากินที่เชียงใหม่  
 โดยพาพวกน้องๆไปด้วย  
 แกมีลูก 6 คนเป็นหญิง3คนชาย3คน  
 พี่ชายอายุแก่กว่า 4 ปี  
 ป้าเป็นคนที่สองพ่อเป็นตำรวจ  
 เป็นโรคมะเร็งที่ตับตายไปนานแล้ว  
 มีอายุแค่51ปี  
 
 หน้าที่เลี้ยงดูลูกทั้งหมดจึงตกเป็นของแม่คนเดียว  
 แกกัดฟันส่งลูกเรียนสูงๆทุกคนไม่ได้คิดถึงตัวเอง  
 บางครั้งต้องนุ่งผ้าถุงขาดแล้วขาดอีก  
 ป้าไม่มีที่อยู่เพราะแม่คืนบ้านเช่าเขาไปแล้ว  
 เลยไปอาศัยคนรู้จักกันอยู่  
 โดยจ่ายค่ากินอยู่เดือนละ 200 บาท  
 
 ตอนนั้นป้าอายุประมาณ 18ปีกว่าๆ  
 ยังผูกผมเปียเหมือนพจมาน สว่างวงศ์แห่งบ้านทรายทอง  
 เพิ่งเรียนครู ปป.เร่ง จบมาใหม่ๆ  
 เป็นวุฒิของครูประถมซึ่งใช้สำหรับคนที่จบมัธยมปลายที่เรียกกันว่าม.8 สมัยก่อน  
 ไม่มีโอกาสเข้าเรียนในมหาวิทยาลัย  
 เป็นการเรียนครูทดลองแค่ 9 เดือน  
 จัดทำแค่ปีเดียวเท่านั้นและป้าจำใจต้องไปเรียน  
 เพราะแม่ไม่มีเงินส่งเรียนมหาวิทยาลัย  
 
 ขนาดเข้าเรียนปป.เร่งแม่แกยังต้องขายทองหนัก 1 บาทสมบัติสุดท้ายที่มีอยู่ได้เงินมา 400 บาท  
 เขารับเข้าเรียนแค่ 12 คนเท่านั้นเอง  
 แต่ป้ายังอุตส่าห์กัดฟันสอบได้  
 อยากหาเงินมาเลี้ยงตัวเองมาก  
 และสงสารแม่ตาดำๆถ้าไปแบมือขอแกบ่อยๆ  
 ยังคิดเลยถ้าสอบไม่ได้คงจะต้องอดตายกินแกลบแน่ๆ  
 และต้องไปทำงานหนักแบกหามของ  
 หรือไปรับจ้างล้างชามที่ไหน  
 
 โชคดีจบมาเเล้วได้เข้าทำงานที่โรงเรียนเอกชน  
 เงินเดือนได้ไม่มากแค่600บาทเอง  
 แต่ก็ดีกว่าอยู่เปล่าๆ  
 รู้นะว่าส่อสันดานการเป็นครูที่ห่วยมาก  
 ไม่ได้ทำเพราะใจรักทำเพราะกลัวอดตายมากกว่า  
 
 ต่อมาป้าก็กระเสือกกระสน  
 หลับหูหลับตาสอบเอาวุฒิ ปม.  
 เป็นวุฒิครูประโยคมัธยมซึ่งเขาเปิดให้เข้าสอบปีละครั้ง  
 จะเลือกสอบกี่วิชาก็ได้  
 แต่ต้องให้ได้ตามที่เขากำหนด4วิชา  
 
 คนอื่นใช้เวลานานพอสมควรแต่ป้าใช้เวลาแค่ปีครี่ง  
 หลับหูหลับตาไปสอบมาจนได้  
 มีคนเขาบอกว่าที่สอบได้เป็นเพราะดวงมากกว่า  
 คงเห็นป้าคิกขุมากไปหน่อย  
 
 ป้าเข้าไปเรียนมหาวิทยาลัยครูภาคค่ำ  
 เมื่อมีโอกาสต่อมา  
 บางครั้งอยากจะเปลี่ยนไปประกอบอาชีพอื่นเหมือนกัน  
 แต่ไม่กล้าทำกลัวอดตาย….  
 งานยิ่งหายากอยู่ด้วย  
 
 ถ้าเข้าทำงานสอนโรงเรียนของรัฐบาล  
 ก็ต้องหอบสังขารอันผอมกระหร่องเป็นไม้เสียบหมูปิ้ง  
 ไปสอนเสียกันดาร  
 ไกลสุดเที่ยงนั่งรถนั่งเรือจนtoodด้านไปหมด  
 เคยไปสอนมาแล้วไม่ไหวต้องรีบลาออก  
 บ้านพักครูอยู่ติดโรงเรียน*งจากบ้านคนมาก…  
 ไฟฟ้าไม่มี…ต้องใช้ตะเกียงก๊อก  
 หรือที่เรียกว่าตะเกียงน้ำมันก๊าด  
 แถมอยู่ใกล้ป่าช้าอีกด้วย  
 
 พอตกกลางคืนพวกหมาก็จะพากันออกจากบ้าน  
 มาตอนช่วงดึกๆประมาณห้าทุ่ม  
 น้ำค้างเริ่มตกเเหมะๆนี่จะมาซุ่มซ้อมลูกคอ  
 อยู่ที่ใต้ถุนโรงเรียนหอนทั้งคืน  
 ไม่รู้ว่าพวกมันจะร้องเพลงจีบสาวหรือเห็นอะไร  
 แต่เอ…ชาวบ้านบอกว่า  
 คงจะเห็นผีซะมากกว่า  
 
 ป้ากับผีดวงไม่ค่อยยจะสมพงศ์  
 และไม่ถูกชะตากันซะด้วยเลยกลัวจนหัวหด  
 ต้องกลั้นเยี่ยวกลั้นขี้ทั้งคืน  
 เพราะส้วมอยู่ข้างล่าง  
 
 แบบนี้ขืนให้อยู่สอนนานๆสงสัยโรคประสาท*แน่ๆ  
 กลัวทั้งคนกลัวทั้งผี  
 น้ำก็ต้องใช้เชือกตักมาจากบ่อลึก  
 ที่ชาวบ้านขุดเอาไว้แถมเป็นตะกอนอีก  
 
 หน้าน้ำต้องใช้เรือโดยสารกว่าจะเข้ามาในเมืองได้  
 แทบจะหลับคาเรือเลย  
 เพราะต้องรับส่งคนและรับบรรทุกของเข้าเมือง  
 วันดีคืนดีก็เห็นน้องจระเข้โผล่ลูกตามาแต่ไกล  
 ป้ารักตัวกลัวตายเลยต้องรีบลาออก  
 มาเป็นครูสอนโรงเรียนเอกชนในเมืองใกล้บ้านดีกว่า  
 
 
 ใครที่อ่านเรื่องนี้แล้วอย่าพึ่งทำหน้าสงสัย  
 เพราะมันเกิดขึ้นเมื่อ 30 ปีมาแล้ว ….  
 และต้องพยายามอ่านหลายๆหน  
 เพราะไม่ค่อยจะเข้าใจเนื่องจากเขียนวกไปวนมา  
 จนหน้ามืดตาลายไปหมด  
 ก็ป้าเป็นครูภาษาอังกฤษแบบฉบับชนบท  
 และภาษาไทยของป้าก็อ่อนพอๆกับภาษาอังกฤษ  
 แบบสูสีเชือดเฉือนคะแนนกัน  
 อ่านแบบสนุกๆเพื่อให้หัวเราะคลายเครียด  
 อย่าถือสาก็แล้วกัน  
 
 วกกลับเข้าเรื่องจากที่ป้ากำลังนอนหลับอุตุฝันดี  
 และเริ่มเห็นตัวเลขลอยมาลางๆ  
 กำลังจะจดอยู่ก็ดันมีอันเป็นไปต้องสะดุ้งตื่นขึ้น  
 เสียดายตัวเลขเป็นบ้ายิ่งใกล้วันหวยจะออกอยู่ด้วย  
 ยังคิดเลยว่าจะแทงหวยใต้ดิน  
 ซึ่งเป็นความหวังรวยแบบฟลุ๊กๆ  
 รวยทางลัดของคนไทยเรา  
 ที่คิดว่าถ้ารวยขึ้นมาวันใดจะนั่งกินนอนกินให้เข็ดเลย  
 
 ยิ่งใกล้วันที่หวยจะออกนี่  
 จะมีเจ้าพ่อเจ้าแม่ของแต่ละสำนักออกมาเดินเพ่นพ่านสำแดงเดชให้หวยแข่งกันวุ่นวายไปหมด  
 และพวกที่หวังรวยก็พากันไปกราบไหว้  
 บูชาขอหวยเป็นเรื่องที่น่าเศร้ามาก ที่  
 น่าสงสารที่สุดคือต้นไม้ที่ขูดหาตัวเลขกัน  
 จนต้นไม้ผอมกระหร่องแบบเด็กเอธิโอเปีย  
 จะตายมิตายแหล่  
 
 เล่นขูดกันจนเปลือกถลอกปอกเปิกหมดไปทั้งต้น  
 แล้วต้นไม้จะมีชีวิตรอดได้อย่างไร  
 ถ้ารอดได้ก็บักโกรกเต็มที่  
 
 พูดถึงเรื่องหวยแล้วทำให้ป้านึกถึงเมียตำรวจคนหนึ่ง  
 ที่อยู่บ้านติดกันเป็นเจ้ามือหวย  
 และเลี้ยงนกขุนทองตัวผู้  
 ซึ่งค่อนข้างจะชราภาพไว้ตัวหนึ่ง  
 มันใบ้หวยเก่งถูกทุกงวด  
 จนเขาตั้งให้มันเป็นเจ้าพ่อขุนทอง  
 
 คนซื้อหวยถูกก็จะหอบเอากล้วยน้ำว้า  
 มาให้มันกินจนแทบจะจุกตาย  
 นกตัวนี้มันปากหมาพอๆกับ..Ai...มอมหมาที่บ้าน  
 ถ้าวันธรรมดามันจะสงบเงียบไม่พูดไม่จา  
 แต่ถ้าวันหวยออกเมื่อไรมันจะพูดใบ้ตัวเลขมั่วไปหมด  
 
 ทำให้คนมาซื้อหวยที่บ้านไขว้เขว  
 ซื้อเลขตามมันกันเป็นแถว  
 ไม่ว่าจะเป็นเลขลอยหรือเลขโต๊ด  
 ตอนหลังเจ้าพ่อขุนทองเกือบโดนคนซื้อหวย  
 จับมันถอนขนทอดกรอบผัดใบกระเพา  
 เพราะซื้อเลขตามมันจนหมดเนื้อหมดตัวกันทุกคน  
 
 โรงเรียนที่ป้าสอนถ้าเป็นวันที่ล๊อตเตอรี่ออก  
 เจ้ามือจะมาถามพวกครูขาประจำ  
 เพื่อแทงหวยใต้ดินของตัวเอง…  
 ป้าเป็นขาประจำคนหนึ่งด้วย…  
 แทงแบบหวังรวยเต็มที่  
 แต่ก็โดนงาบทุกงวดเหมือนกัน  
 คิดแล้วเซ็งจริงกับชีวิต….  
 แบบนี้เมื่อไรจะรวยสักที  
 
 ครูแต่ละคนหน้าซีดหน้าเซียวหลังหวยออกแล้ว  
 และมีสภาพชักหน้าไม่ถึงหลังตามๆกัน  
 ขนาดต้องไป*้หนียืมสินเขาคิดดอกร้อยละ20  
 หน้ามืดเอาทุกอย่างไม่เกี่ยงงอน  
 แต่ตอนจ่ายดอกต้องวิ่งขาขวิดหาเงินมาจ่ายดอก…….  
 ไปเล่นแชร์กับเขา  
 และ*้ ฉฉ.เป็นการ*้ฉุกเฉิน  
 จากสหกรณ์เงินทุนช่วยเหลือครูยามเดือดร้อน  
 การหาทางใช้หนี้ทำแบบนี้  
 เหมือนดินพอกหางหมูมาก  
 แล้วครูจะมีกำลังใจสอนพวกเด็กๆให้ดีได้อย่างไร  
 
 

pall




 
 
 เสียงตึง ตัง ๆดังหนวกหูมาก  
 ที่ได้ปลุกให้ต้องตื่นขึ้นมา  
 แหมไม่อยากตื่นอยากเลย  
 อยากนอนหลับอุตุต่อ  
 จึงนอนโก้งโค้งเอาหมอนยัดรูหู  
 ไม่ให้ได้ยินเสียงดัง  
 แต่สงสัยหมอนคงจะเก่ามากไปหน่อย  
 เนื้อผ้าจึงกันเสียงไม่ได้  
 กลับได้ยินเสียงดังหนักเหมือนเดิม  
 
 ทนไม่ไหวจนป้าต้องร้องตะโกนด่าไป  
 เพราะอารมณ์เสียสุดขีด  
 “หนวกหูจังว๊อย คนจะหลับจะนอน…”  
 ปรากฏว่าข้างล่างยิ่งส่งเสียง ไม่มีทีว่าจะลดราวาศอกประเภทขิงก็ราข่าก็แรง  
 ป้าเลยต้องตะโกนไปตอบ  
 
 “ยอมแพ้แล้ว….จะลงไปเดี๋ยวนี้”  
 ป้าค่อย ๆ กระดืบ ๆ คลานออกจากที่นอน  
 แบบไม่ค่อยจะเต็มใจนัก….  
 แหวกมุ้งโผล่หน้าออกมา  
 พร้อมทั้งบ่นออกมาเบาๆกับตัวเอง  
 
 “โอย…ทำไมมันมืดไปหมด  
 อ้อ…ตูลืมยังไม่ลืมตานี่หว่า “  
 
 บ้านที่อาศัยเขาอยู่เป็นบ้านไม้ยกใต้ถุนสูง  
 มีบันไดสำหรับขึ้นลงหน้าบ้าน  
 
 ป้ารีบล้างหน้าแปรงฟันอย่างลวกๆ  
 รวบทำผมจุกแปะแป้งจนขาววอกไปหมด  
 ถอดชุดนอนอันเก่าคร่ำคร่ามาใส่ผ้าถุง  
 และสวมเสื้อเชิ๊ตแขนสั้น  
 ติดกระดุมจนถึงลูกกระเดือก  
 ซึ่งถ้าป้าอยู่บ้านจะแต่งแบบนี้ประจำจ  
 นคนใกล้ชิดเขาส่ายหัวไปมาอย่างอ่อนใจ  
 
 ไม่ว่าฝนจะตกฟ้าจะร้องต้องปิดลูกกระเดือก  
 เมื่อเสร็จแล้วรีบเดินลงบันได  
 เพื่อไปหาเจ้าบรรดาต้นเสียงทั้งหลาย  
 พอมันเห็นก็เริ่มส่งเสียงกระดี๊กระด๊า  
 ราวกับนัดหมายกันไว้  
 แต่คราวนี้โหยหวนกวนต่อมประสาทมากกว่าเดิม  
 จะมีใครอีกก็บรรดาเจ้าน้องหมู  
 ที่ป้าขนเอามาอยู่ด้วย 6 หน่อ  
 เป็นหญิงล้วน  
 เลี้ยงแบบหวังผลขายได้ดีในอนาคตข้างหน้า  
 ไม่ใช่เลี้ยงเพราะรักเด็ก  
 แบบนางสาวไทยทั้งหลายพูดกันหรอกนะ  
 ถ้าขืนทำแบบนั้นคงจะอดตายกันพอดี  
 
 พวกมันคงโมโหหิวกันเต็มที่  
 เลยส่งเสียงทะเลาะกันด่ากันอย่างกับปากตลาด  
 การกินอยู่สุดแสนจะสกปรก  
 นี่ขนาดคอยควบคุมนะ  
 
 ป้าต้องรีบลงไปเตรียมอาหารให้กิน  
 ก่อนที่สงครามปรมาณูจะเกิด  
 รีบจัดการเอาข้าวหักท่อนคุณภาพต่ำ  
 ราคาถูกมากที่คนไม่นิยมกินกัน  
 ที่ต้มเอาไว้เมื่อวานผสมกับรำ  
 และผักบุ้งที่ไปเก็บมาไว้ตอนเย็นจากข้างทาง  
 
 มันขึ้นมาเองไม่มีใครหวงห้าม  
 ใครมีแรงจะเก็บไม่มีใครว่าเพราะเป็นที่สาธารณะ  
 มันขึ้นดกดูเหมือนพรมสีเขียว  
 เวลาออกดอกชูช่อสวยงามมาก  
 
 ป้าขอบคุณน้องผักบุ้งจนทุกวันนี้  
 เพราะเป็นที่พึ่งยามยาก  
 ของคนเบี้ยน้อยหอยน้อยเเบบป้า  
 
 ทุกวันหลังโรงเรียนเลิกแล้ว  
 ป้าต้องปั่นE..แก่จักรยานอายุมาก  
 แต่ยังใช้การได้ดีถึงแม้ลูกล้อจะแกว่งไปมา  
 เวลาขี่ไวๆ  
 
 บางครั้งลูกล้อทั้ง2ลูก  
 ทำท่าจะแย่งชิงกันออกหน้าเอาชนะกัน….ไ  
 ปเอาผักบุ้งมาเก็บไว้ใช้แต่ละวัน……  
 ใส่วิตามินเพิ่มเข้าไปเพื่อให้อวบไวยิ่งขึ้น  
 
 หลังจากนั้นก็เอาน้ำข้าว  
 และเศษอาหารที่ไปขอตามบ้านต่างๆ  
 เป็นการทุ่นค่าอาหารไปได้มากพอสมควร  
 แจกอาหารให้กินกันอย่างอิ่มหมีพลีมัน  
 และนั่งคอยดูพวกมันกินกันอย่างเอร็ดอร่อย  
 เสียงดังโฮกฮากมูมมาม…..  
 รางอาหารที่ป้าให้พวกเด็กๆกิน  
 มีแค่รางเดียวแต่ลักษณะยาว  
 เวลาตักอาหารใส่รางแต่ละครั้งต้องระวังมาก  
 เพราะมันชอบวิ่งเข้ามาแย่งกินของดีๆ  
 
 บางตัวกระซวกอาหารยังไม่ทันเสร็จ  
 ต้องรีบคายร้องลั่นเพราะโดนตัวอื่น  
 เอาจมูกมาดัน*จนหัวคมำ  
 ตอนนี้เลยเกิดมวยหมู่  
 เพราะตัวอื่นเข้ามาช่วยพรรคพวก….  
 
 ตัวใหนที่สู้ไม่ไหว  
 ก็แหกปากร้องเรียกความเป็นธรรม  
 แบบเอาเสียงเข้าข่ม  
 ป้ารำคาญมากต้องนั่งคอยควบคุมไม่ให้แย่งกัน…..  
 ถ้าทะเลาะกัดกันจนพิการ  
 เดี๋ยวโตไปราคาจะตกมากขายไม่ออก  
 หรือขายได้แบบถูกกดราคามาก  
 
 เจ้าพวกนี้ก็เป็นแบบนี้แหละ  
 เมื่อเจอของกินถูกปากก็เลิกกัดกัน….  
 ป้าเห็นมันพากันนอนผึ่งพุงรออาบน้ำ….  
 เมื่อกินเสร็จ  
 เห็นแล้วน่าอิจฉาพวกมันจริงๆ  
 เพราะพวกมันกินอิ่มป้าต้องมานั่งเก็บกวาด  
 
 เฮ้อคิดว่าถ้ารวยกว่านี้จะไม่มานั่งทำให้เมื่อยเลย  
 กำลังทำเพลิน……..  
 จนเหงื่อไหลไคลย้อยเปียกโชกไปหมด  
 ก็ตกใจเสียง  
 
 ปิ๊น ปิ๊น อันคุ้นหูเป็นเสียงรถมอเตอร์ไซค์  
 เข้ามาจอดหน้าบ้านและเสียงหมาเ*ดังลั่น  
 ซักพักมีเสียงตะโกน  
 จำได้ว่าเป็นเสียงบุรุษไปรษณีย์  
 เจ้าเก่าประจำซอยสาวโสด  
 
 

pall

เขียนไว้นานแล้ว..แต่เขียนไม่จบเสียที  
 เป็นการเขียนที่เริ่มต้นรู้จักกับลุง
 ก่อนจะมาตกระกำลำบากกับ
 โชคชะตาที่ลิขิตชีวิต...ที่ต้องต่อสู้ด้วยน้ำตา..
 ด้วยพลังใจอันไม่ย่อท้อ...ถึงแม้จะกัดกล้อนเกลือกิน
 
 **เอามาให้อ่านเล่นๆก่อนจะลบออก **
 
 เขียนแบบพอคเก๊ตบุคสั้นๆประมาณ16ตอนจบ  
 เป็นเรื่องที่เขียนจากความทรงจำตอนรู้จักกับลุง  
 
 เอามาแค่เป็นตัวอย่าง..ดีไม่ดีบอกด้วย
 

miko


เกตุ

อ่านหนุกมากเลยค่ะป้า ขอตอนต่อไปอีกคน

Pimie

ได้มีเวลานั่งหน้าคอมฯจริงๆๆจังๆๆหลังกลับมาจากเมืองไทย เข้ามาอ่านงานเขียนของป้าพอลล่า....ขออนุญาติแอบเติมชื่อให้นะค่ะ เพราะแอบเป็นแฟนคลับของป้ามานานแล้ว.....งานเขียนป้าใช้ภาษาน่ารักและอบอุ่นน่ารักจังเลยค่ะ.....ขออนุญาติแอบเก็บ....เอาไว้รวมเล่มหุๆๆๆ ( จะส่งโรงพิมพฺขายดีมั๊ยน๊า!!!! ) ล้อเล่นค่ะ จะเก็บไว้อ่าน....ชอบภาษาไทยที่ป้าพอลใช้จัง.....ขอชมว่าเป็นยอดหญิง....ของไทยค่ะ

Pimie

เข้ามาอีกรอบ....ค่ะป้าพอลล่า....ชอบตรงที่ว่า อ่านแล้วน่าแดงไป ( ตอนสาวๆๆแก้มป้าคงเป็นสีลูกตำลึงนะค่ะ) "เกือบคิดว่าตัวเองแปลผิดไปหรือเปล่า " แสดงว่า รักแรกเจอจดหมายหุๆๆๆๆๆๆๆๆๆ  พึ่งรู้ว่าป้าพอล เป็นแม่พิมพ์ของชาตินี่เอง..... ขาดดุลย์กับชาวสวิสฯ เสียแล้วครูสาวไทย..........

แจงจ้า

อ่านเพลิน สนุกมากๆเลยจ๊ะป้า  
 
 ยกมือขอ ตอนต่อไปด้วยค๊า

pall

สวัสดีจ๊ะมิโกะ
 สวัสดีจ๊ะแจง
 สวัสดีจ๊ะแหนม
 ขอบใจมาก

pall

สวัสดีจ๊ะPimie
 
 ขอบใจมากจ๊ะสำหรับคำชม
 เอาไปพิมพ์แล้วแบ่งกันเนอะ
 ไปเมืองไทยสนุกไหมจ๊ะมาเล่าให้ฟังบ้าง...อยากฟังมากๆ

krit

มาอ่านช้าไปหน่อย  แต่ดีใจมากที่ได้อ่าน ชีวะประวัติ  ของอีกหนึ่งชีวิตที่มาอยู่แดนไกล     ขอบคุณครับ  จะติดตามต่อ ๆ ไป